ชนัญญา ภัทรประสิทธิ์ แอน&ธรรมชาติ
จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่เลือกอยู่กับป่า อยู่กับชาวบ้าน และอยู่กับวิถีชีวิตที่ยังไม่ศิวิไลซ์
โดย...กาญน์ อายุ
จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่เลือกอยู่กับป่า อยู่กับชาวบ้าน และอยู่กับวิถีชีวิตที่ยังไม่ศิวิไลซ์ ทั้งที่ชีวิตของเธอมีฐานะระดับมั่งคั่ง สามารถใช้เงินซื้อความเจริญให้กับชีวิต ผู้หญิงคนนี้ชื่อ “แอน-ชนัญญา ภัทรประสิทธิ์” กรรมการบริหาร บริษัท อาเซียน โอเอซิส และเจ้าของลอดจ์ 2 แห่งทางภาคเหนือ ลอดจ์ที่อยู่กับชุมชน ทำงานร่วมกับชุมชน และกระจายรายได้สู่ชุมชน เธอเป็นแรงผลักดันให้นักท่องเที่ยวเที่ยวไปตามวิถีของชาวบ้าน เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนท้องถิ่น และสร้างประสบการณ์ให้คนต่างถิ่นเข้าใจการใช้ชีวิตคนอีกมุมหนึ่ง
เธอเรียกการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ ว่า “Experience Travel”
ลอดจ์รูปแบบใหม่
ถามคุณแอนว่า ที่พักที่เธอทำเรียกว่าอะไร เธอตอบว่า “ลอดจ์” เพราะมันไม่ใช่รีสอร์ต ไม่ใช่โฮมสเตย์ แต่มันคือ ลอดจ์ เมื่อเปิดในพจนานุกรมหาความหมายคำว่า ลอดจ์ อธิบายไว้ว่า มันคือกระท่อม หรือบ้านพักในป่า ตรงกับสิ่งที่คุณแอนได้สร้างไว้ไม่ผิดเพี้ยน
คุณแอนสร้างลอดจ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก 2 แห่ง ที่แรกอยู่ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เปิดทำการย่างเข้าสู่ปีที่ 17 และแห่งที่ 2 อยู่ในหมู่บ้านกิ่วกาญจน์ จ.เชียงราย ปีนี้เป็นปีที่ 4 ทั้งสองแห่งเก็บตัวอย่างเงียบๆ ในชุมชนชาวเขา โดยทำงานร่วมกับคนในชุมชน คุณแอนเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะลงมือสร้าง เธอและทีมงานต้องลงพื้นที่เขาไปคุยกับผู้นำชุมชน เพื่ออธิบายคอนเซปต์ของการสร้างลอดจ์ว่าเธอไม่ได้เข้ามาเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว แต่เข้ามาเพื่อคนในชุมชน
“ในตอนแรกที่เข้ามาคุยกับชุมชนที่แม่แตง ชุมชนเขามองว่าเราจะเข้ามาฉวยโอกาส เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในชุมชน แต่แท้ที่จริงเราจะเข้ามาอยู่กับเขา มาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในหมู่บ้านของเขาต่างหาก เราใช้เวลาและคุยกับเขานานกว่าคนในท้องถิ่นถึงจะเข้าใจ”
ลอดจ์ที่คุณแอนกล่าวทั้งสองแห่งนั้นทำงานกับชุมชนและให้ประโยชน์กับชุมชน โดยการให้คนในชุมชนเข้ามาทำงานในลอดจ์ พาแขกไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนในชุมชน ใช้ไกด์ที่เป็นคนท้องถิ่น และที่สำคัญคือ แบ่งรายได้ส่วนหนึ่งของลอดจ์ให้ธนาคารของหมู่บ้าน ส่วนในแง่ธุรกิจทางลอดจ์ก็ได้รับรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้าพักหรือเงินอีกส่วนหนึ่งที่แบ่งกันกับธนาคารหมู่บ้านนั่นเอง นับเป็นธุรกิจแบบ Win-Win ทั้งเจ้าของและชาวบ้าน และบุคคลที่สามอย่างนักท่องเที่ยวที่ได้ประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
“การเข้าพักที่ลอดจ์จะไม่เหมือนที่พักอื่นๆ เพราะแขกต้องเสียเงินเป็นรายหัว และทางเราจะจัดกิจกรรมให้เขาทำ เช่น พาไปเดินป่า ไปดูวิถีชีวิต ไปทำผ้าบาติกของภาคเหนือ ชมการแสดงท้องถิ่น และที่พักของเราก็ไม่หรูหรา แต่กลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะห้องจะไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ไม่มี Wi-Fi แต่สะอาดและปลอดภัย”
การสร้างลอดจ์ก็เช่นกัน เพราะสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงเรื่องธรรมชาติ เช่น หันหน้าเข้าหาลมและแสง หลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้เพื่อใช้ที่ หรือสร้างบ้านพักด้วยไม้ เป็นต้น
ในประเทศไทย การทำลอดจ์รูปแบบนี้คุณแอนเองยังไม่เคยเห็นที่ไหนทำมาก่อน แต่ในแถบแอฟริกามีมาก่อนแล้ว เธอได้ไปดูโมเดลนี้มาจากประเทศเคนยาและแทนซาเนียที่สร้างที่พักในท้องถิ่น รับคนในพื้นที่เข้าทำงาน และพาแขกไปเที่ยวแบบบ้านๆ คุณแอน กล่าวว่า “การท่องเที่ยวแบบนี้เรียกว่า Experience Travel คือแขกไม่ได้แค่มานอน แต่เขามาเพื่อเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นและไม่เคยได้รับ ซึ่งการเที่ยวแบบนี้ประสบความสำเร็จมากในแอฟริกา แอนจึงคิดว่าพวกเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน”
พนักงานชาวเขา
พนักงานที่ลอดจ์ทั้งสองแห่งเป็นชาวบ้านที่เดินจากบ้านมาทำงาน ใส่ชุดที่พวกเขาใส่อยู่ปกติมาทำงาน แต่คุณแอนจะให้ความรู้เรื่องงานบริการโรงแรมทั้งหมดแก่พวกเขา
“แอนเริ่มสอนพวกเขาจากศูนย์ เพราะชีวิตของพวกเขาไม่เคยนอนบนฟูก ไม่รู้จักผ้ารองเตียง ไม่เคยเห็นปลอกหมอน และไม่เคยเสิร์ฟอาหารมาก่อน แอนจึงต้องสอนเขาทุกอย่าง และให้เวลาพวกเขาเรียนรู้ด้วย ชาวบ้านมีความตั้งใจทำงานอยู่แล้ว ขาดแต่เพียงเทคนิคและทักษะ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสอนและสร้างกันได้”
คนไทยไม่เที่ยว
คุณแอนพูดถึงแขกที่เข้าพักว่า ไม่มีคนไทยเลย 100% คือชาวต่างชาติที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวในรูปแบบนี้ แต่ก่อนเธอเคยจ้างบริษัททำประชาสัมพันธ์ลอดจ์ที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนไทยก็ไม่มาเที่ยวอยู่ดี
“มันไม่ง่ายเลยที่จะให้คนไทยนิยมการเที่ยวและการพักผ่อนรูปแบบนี้ เพราะคนไทยชอบห้องพักที่เปิดแอร์เย็นๆ มีทีวีให้ดู มีอินเทอร์เน็ตให้เล่น ซึ่งทั้งหมดที่คนไทยต้องการ ลอดจ์ของเราไม่มีให้ แต่สำหรับคนต่างชาติเขามาเมืองไทยเพื่อมาสัมผัสความเป็นไทยจริงๆ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเขา”
ทำเพราะใจรัก
กว่าที่ลอดจ์แห่งแรกจะประสบความสำเร็จ ต้องใช้เวลาและความอดทนเป็นอย่างมาก แต่คุณแอนก็ไม่ล้ม เพราะเธออยากเห็นธุรกิจและการท่องเที่ยวแบบนี้ในประเทศไทย และเพราะเธอมีใจรักที่จะทำมันให้สำเร็จ
คุณแอนเล่าถึงนิสัยของตัวเองให้ฟังว่า เธอเป็นคนชอบอยู่กับธรรมชาติ อยากเห็นต้นไม้ อยากออกมาสัมผัสธรรมชาติข้างนอก และจะรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่กับสิ่งเหล่านี้
“แอนเป็นคนชอบแคมปิงมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบเดินป่าเดินในธรรมชาติ พอมีครอบครัวก็พาลูกและสามีไปเดินป่าด้วยกัน จนทำให้ตอนนี้ลูกทุกคนชอบอยู่กับธรรมชาติ ลูกสาวชอบอยู่กับช้าง ลูกชายชอบอยู่กับชาวเขา และทุกปีเรา 4 คนพ่อแม่ลูกก็จะไปเมืองนอกเป็น Family Trip ไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป”
คุณแอนกล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “คนไทยอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา ทำให้อยากไปในที่ที่พัฒนาแล้ว แต่สำหรับชาวต่างชาติเขามาจากที่ที่เจริญแล้ว จึงอยากกลับมาหาสิ่งดั้งเดิมที่ยังไม่พัฒนา”
ถ้าสักวันหนึ่งประเทศไทยพัฒนาจนไม่เหลือความเป็นรากเหง้าของประเทศ เมื่อนั้นคนไทยอาจอยากหวนกลับมาหาสิ่งที่เคยมีอยู่ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว...


