‘มิเชลล์ โหยว’ ในร่างทรง ‘อองซานซูจี’
ได้ดูก่อนใครในรอบปฐมทัศน์ ณ หัวหิน ฟิล์ม เฟสติวัล ครั้งที่ 1 จากนั้นจึงมีโอกาสเข้าฉายอย่างเป็นทางการให้แฟนๆ ได้ชื่นชมกันเต็มตาเต็มตื่น
ได้ดูก่อนใครในรอบปฐมทัศน์ ณ หัวหิน ฟิล์ม เฟสติวัล ครั้งที่ 1 จากนั้นจึงมีโอกาสเข้าฉายอย่างเป็นทางการให้แฟนๆ ได้ชื่นชมกันเต็มตาเต็มตื่น
โดย...โจ เกียรติอาจิณ
ได้ดูก่อนใครในรอบปฐมทัศน์ ณ หัวหิน ฟิล์ม เฟสติวัล ครั้งที่ 1 จากนั้นจึงมีโอกาสเข้าฉายอย่างเป็นทางการให้แฟนๆ ได้ชื่นชมกันเต็มตาเต็มตื่น
เรื่องราวที่อ้างอิงถึงชีวิตจริงของสตรีเหล็กชาวพม่า “อองซานซูจี” ที่มุ่งมั่นกับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมบนเส้นทางหฤโหด นับตั้งแต่เธอกลับมาเยี่ยมมารดาที่บ้านเกิด แล้วทุกสิ่งก็ผันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากแม่บ้านออกซฟอร์ดสู่ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย จากปัญญาชนที่มีอิสรภาพกลับต้องถูกจองจำให้อยู่เฉพาะในบ้าน
นี่ละคือ The Lady และ อองซานซูจี
สัปดาห์ที่แล้ว “มิเชลล์ โหยว” ผู้รับบทสุดท้าทาย บินลัดฟ้ามาเมืองไทยโชว์ตัวเป็นๆ ให้เห็นกันจะจะ ปะทะสื่อและแจกยิ้มแก่แฟนๆ อ้อ!!! ที่สำมะคัญกว่านั้น เธอได้กระทบไหล่ เซย์ฮัลโหล แล้วกล่าวทัก “สวัสดี” กับ “นายกฯ หญิงของไทย” ในงานกาลา
คล้อยหลังวันเดียวเราก็มีนัดเช่นกัน แน่นอนก็ต้องนัดกับผู้สวมวิญญาณเป็นร่างเงาหญิงแกร่งนั่นละ
ในภาพยนตร์บอกได้คำเดียวว่า มิเชลล์ โหยว โดดเด้งเหลือเกิน นอกจากจะละม้ายคล้ายคลึงกับ อองซานซูจี ตัวจริงมากกกกกก เธอยังพิสูจน์ให้เห็นฝีมือการแสดงอันเหนือชั้นฐานะดาราตัวแม่ ที่สามารถเข้าถึงอารมณ์ดรามาและจิตวิญญาณการเป็นนักต่อสู้ด้วยวิถีทางปลอดความรุนแรง
“เมื่อฉันต้องสวมบทเป็นใครสักคนแบบนี้ ฉันก็จะต้องส่งสารไปถึงเธอให้ได้ ฉันตระหนักดีว่าเธอเป็นใคร เข้าใจเธอและรู้สึกสงสารเธอกับประเทศของเธอ”
1988 เป็นปีที่ อองซานซูจี เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า บินตรงจากอังกฤษถึงพม่า เพื่อมาเยี่ยมมารดาที่นอนป่วยอยู่ ตราบนั้นชีวิตเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ชุมนุมประท้วง ฆ่ากันตาย แล้วเธอก็ไม่ได้ออกจากพม่าอีก
ขณะที่ มิเชลล์ โหยว หรือ หยางจื่อฉยง ก็เป็นปีที่เธอไม่มีงานแสดงสักเรื่องเลย ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนจ้าง แต่เป็นปีที่เธอพักงานเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเข้าประตูวิวาห์กับประธานบริษัทภาพยนตร์ชื่อดัง ดี แอนด์ บี ฟิล์ม “ดักสัน พูน”
“ฉันว่าฉันเหมือนกับซูจีก็ตรงที่เป็นคนที่รักใครรักจริง ความรักที่ฉันมีต่อครอบครัวหรือต่อบ้านเกิดและประเทศชาติ (พื้นเพเธอเป็นคนมาเลย์ เชื้อสายจีน โดยเกิดที่รัฐเประ) ก็แทบไม่แตกต่างจากความรักที่ซูจีมีต่อครอบครัวและประเทศพม่าหรอก เพียงแต่ฉันอาจจะไม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์กดดันการเมืองแบบซูจี ซึ่งเธอต้องแบกไว้บนบ่าอย่างหาญกล้า”
แล้วคุณได้แรงบันดาลใจอะไรจากสิ่งที่ อองซานซูจี เพียรพยายามกระทำมาตั้งแต่ปีที่คุณแต่งงานจวบจนถึงปัจจุบันนี้
“ซูจีเป็นดั่งความหวังของผู้หญิงทั้งโลก สิ่งที่ฉันสัมผัสได้จากการกระทำของเธอคือการเสียสละ คำว่าเพื่อคนอื่น หรือส่วนรวมดูเหมือนจะมาก่อนคำว่าตัวเอง แล้วฉันก็พบว่าเธอมีความรับผิดชอบสูงมากๆ รับผิดชอบที่จะนำพาตัวเธอ ประชาชน และประเทศของเธอก้าวไปสู่การเป็นประชาธิปไตย ซึ่งฉันว่าถ้าทุกคนมีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตัวเอง แล้วทำมันอย่างเต็มที่ ฉันว่าอะไรๆ มันคงดีตามมาแหละ”
การต่อสู้ทางการเมืองแบบ อองซานซูจี คุณคิดว่าเป็นวิถีที่ถูกต้องสำหรับผู้หญิงแล้วหรือยัง
“มันเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องมากๆ และควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง สำหรับฉันในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันขอยกย่องในความอดทน ความกล้าหาญ ความเสียสละ ที่เธอเลือกจะต่อสู้โดยไม่มีอาวุธ หรือเอาความรุนแรงและความตายเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย การต่อสู้ของซูจีอาจต้องใช้เวลานาน แต่พอผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ ฉันว่ามันเป็นการต่อสู้ที่คุ้มค่าและน่ายกย่องจริง”
ถ้าได้เจอตัว อองซานซูจี อีกครั้ง (ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกตอนที่ทีมงานยกกองถ่ายไปพม่า) คุณจะบอกอะไรกับเธอ
“โห มันคงจะเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับฉันมากๆ มันคงเหมือนตอนที่ฉันได้เจอเธอครั้งแรก ฉันมีความสุขมากๆ กับเซอร์ไพรส์นั้น แต่ถ้าฉันมีโอกาสอีกครั้งน่ะเหรอ (หัวเราะเจื่อนๆ ด้วยว่าเธอถูกหมายหัวจากรัฐบาลพม่าห้ามเข้าประเทศเรียบร้อย) ฉันอยากเอาภาพยนตร์ที่ฉันแสดงเป็นเธอไปให้เธอดู ฉันคงปลื้มจนพูดอะไรไม่ออกแน่ๆ”
2 ปีแล้วที่ อองซานซูจี ได้รับอิสรภาพ โดยไม่ต้องถูกกักบริเวณ นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าประชาธิปไตยกำลังจะเบ่งบานในพม่าภายใต้เงื้อมมือของผู้หญิงที่ชื่ออองซานซูจี คุณเชื่ออย่างงั้นไหม
“ส่วนตัวฉันค่อนข้างเชื่อมั่นว่าทุกอย่างมันคงจะดีขึ้นกว่าเดิมและดียิ่งๆ ขึ้น ซึ่งฉันก็เชื่อว่าบทบาทผู้หญิงอย่างซูจีจะทำให้โฉมหน้าการเมืองในพม่าเปลี่ยนไป ไม่สิ ... ทั้งโลก การเมืองจะต้องไม่ขีดเส้นจำกัดความเฉพาะแค่ผู้ชาย จะต้องไม่มีการนำเรื่องเพศสภาพมาแบ่งเส้นว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะ เพราะผู้หญิงจะสามารถผงาดมาเป็นนักปกครองได้เหมือนที่ซูจีกำลังทำอยู่”
การสนทนากับ มิเชลล์ โหยว จบลงอย่างเร็วรวด เราร่ำลาเธอ เธอโปรยยิ้มให้ พร้อมไม่ลืมชักชวนให้คนไทยไปดูภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องนี้กันเยอะๆ บ๊ายบาย มิเชลล์ โหยว ร่างทรง อองซานซูจี
‘ลุค เบซง’ เบิ่ง ‘อองซานซูจี’
“นี่คือการต่อสู้ของผู้หญิงโดยปราศจากอาวุธ เธอมีก็แต่ความเมตตาและจิตใจที่เข้มแข็ง เธอเป็นวีรสตรี จะมีบ่อยแค่ไหนกันที่เราจะพบเรื่องแบบนี้ในประวัติศาสตร์ เธอไม่เคยเข่นฆ่า ลักขโมย หรือทำอะไรผิดกฎหมาย ทว่ากลับต้องถูกกักขังอยู่ในบ้านยาวนานถึง 24 ปีช่างบ้าบอและเลวร้ายเหลือเกิน”
เป็นความเห็นของผู้กำกับเมืองน้ำหอมที่มีต่อ อองซานซูจี ซึ่งเขายังบอกอีกว่า การต่อสู้ของเธอนั้นไม่ได้ทำเพราะมีเงื่อนปัจจัยเรื่องเงินทอง อำนาจ หรือชื่อเสียง อย่างเดียวที่เธอมุ่งมั่น นั่นคืออุดมการณ์อันแรงกล้าเพื่อให้ประชาชนและประเทศพม่าหลุดพ้นจากเผด็จการ
“เธอเป็นแบบอย่าง เป็นพระเจ้าสำหรับผม ผมภูมิใจมากๆ ที่สามารถเล่าเรื่องเธอได้”


