posttoday

เถรใบลานเปล่า

29 มกราคม 2555

เรื่องคนมีความรู้มาก (จริงไม่รู้?) แต่เอาตัวไม่รอด มีถม!!!

เรื่องคนมีความรู้มาก (จริงไม่รู้?) แต่เอาตัวไม่รอด มีถม!!!

สมัยพระพุทธเจ้าก็มีพระประมาณนี้อยู่รูปหนึ่ง เป็นระดับเถระเลยล่ะ ชื่อว่า “โปฐิละ” แปลความว่า พระใบลานเปล่า หรือผู้มีคัมภีร์เปล่า

ความรู้ของท่านรูปนี้มากไหม ก็ต้องบอกว่ามากทีเดียว (สมัยนี้แค่ท่องปาติโมกข์ได้ก็ถือเก่งแล้ว แต่นี่คือสามารถจำพระไตรปิฎกได้หมด) และตามตำราว่า ท่านทรงจำพระไตรปิฎกได้ในศาสนาของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์

คือไม่ว่าเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ไหน ก็ได้เกิดเป็นพระที่ทรงจำพระไตรปิฎกได้หมดเลย เรียกว่าขั้นเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก

ถามว่า ดังไหม ก็ต้องบอกว่าดังมาก และความดังหรือความมีชื่อเสียงของท่านก็ทำให้มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก และนั่นก็ทำให้ท่านเกิดมานะถือว่าตัวเองเก่งกว่าใคร

ท่านทำหน้าที่บอกธรรมแก่ลูกศิษย์เหล่านั้นจนลูกศิษย์ได้ดิบได้ดี คือออกป่าไปเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าได้เป็นพระอรหันต์กันหมด

เรียกว่า ลูกศิษย์ข้ามถึงฝั่งหมดแล้ว แต่ตัวท่านยังไม่ได้ก้าวไปไหนเลย

ดังนั้น วันหนึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงดำริว่าพระรูปนี้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีแม้ความคิดที่จักทำการสลัดตนออกจากวัฏสงสาร จำจักต้องให้เธอเกิดสังเวช (ตื่นเสียที) แต่นั้นมา พระองค์ก็มักจะตรัสกับโปฐิละในเวลาที่พระเถระนั้นมาเข้าเฝ้า

“มาเถิด คุณใบลานเปล่า นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า ไปเถิด คุณใบลานเปล่า” แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า คุณใบลานเปล่าไปแล้ว

เมื่อโดนหนักเข้าๆ พระโปฐิละก็รู้สึกแปลกใจกับพระวาจาของพระพุทธเจ้าเป็นยิ่งนัก เดินไปพลางคิดถึงพระพุทธวาจานั้นตลอด

“เราการศึกษาเป็นเลิศ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎก บอกธรรมแก่ภิกษุ 500 รูป มากถึง 18 คณะใหญ่ แล้วอย่างนั้นพระศาสดาก็ยังตรัสเรียกเราตลอดว่าคุณใบลานเปล่า พระองค์ตรัสเรียกเราอย่างนี้เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้”

คิดอย่างนี้ก็เกิดสังเวชคิดเข้าป่าบำเพ็ญสมณธรรมหวังที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ จึงจัดแจงบาตรจีวรเองออกไปพร้อมด้วยภิกษุลูกศิษย์ผู้เรียนธรรมแต่ไปทีหลังย่องไปเวลาใกล้รุ่ง ส่วนลูกศิษย์แยกไปเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าแล้วแยกตัวเข้าป่าบำเพ็ญสมณธรรมจนได้เป็นอรหันต์กันหมด

ฝ่ายโปฐิละเดินทางเข้าป่าไปพบพระภิกษุ 30 รูป ที่พักอยู่ที่นั่นซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ แล้วเข้าไปไหว้พระสังฆเถระ (พระผู้นำคณะ) กล่าวขอให้ท่านช่วยแนะนำพร่ำสอน

แต่พระสังฆเถระคิดกำจัดมานะของท่านจึงพูดขึ้นว่า ท่านอาจารย์เป็นพระธรรมกถึก สิ่งอะไรชื่อว่าอันพวกเราพึงทราบได้ก็เพราะอาศัยท่าน เหตุไฉนท่านจึงพูดอย่างนี้

แต่โปฐิละขอร้องหลายครั้งพระสังฆเถระจึงส่งต่อท่านไปสำนักของพระอนุเถระ (พระรองลงไป) ด้วยคิดว่ามานะยังมีเพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้เยอะ

แต่พระอนุเถระส่งต่อไปเรื่อยๆ จนถึงรูปสุดท้ายก็จึงส่งไปสำนักของสามเณรผู้มีอายุ 7 ขวบ และถูกสามเณรสั่งสอนจนได้บรรลุธรรมในที่สุด

พูดเรื่องนี้ก็ชวนให้นึกถึงพระสมัยนี้บางรูปที่ชอบอ้างแต่ตำรา มักอ้างพระไตรปิฎกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าที่อ้างนั้นถูกต้องจริงแท้แค่ไหนตรงตามความในพระไตรปิฎกจริงหรือไม่

แต่ที่น่าแปลกก็คือกลับไม่มีพระรูปไหนไม่ว่าจะเป็นพระนักวิชาการ นักเผยแผ่ชื่อดัง หรือพระนักปกครอง ออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริงแก่ชาวพุทธ

ทำไมถึงนิ่งเฉยเงียบเชียบได้ขนาดนี้ และการที่พระรูปนี้เรียกพระพุทธรูปว่าไอ้หัวแหลมก็ไม่พอที่จะกระตุ้นให้พระคุณเจ้าทั้งหลายต้องออกมาปกป้องพระพุทธศาสนากันเลยหรือ

อยากจะบอกว่า จริงอยู่ที่บางเรื่องพระรูปนี้พูดนั้นถูกเพราะพฤติกรรมของพระสมัยนี้หลายรูปก็ทำผิดวินัยและสมณสารูปจริง แต่ก็มีหลายเรื่องที่พระรูปนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวพระศาสนาเลย ซ้ำอวดอุตริมนุสสธรรมเสียเอง

นิ่งเฉยทำไมละครับ ออกมาทำอะไรสักอย่างบ้างเถอะ ไม่มีพระรูปไหนกล้าเลยเหรอ หรือว่าจะเป็นโปฐิละกันไปหมดแล้ว

 

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ