คลายหนาวด้วยข้าวจี่
“ข้าวจี่มั้ยครับ ข้าวจี่ร้อนๆ ครับ” เสียงพ่อค้าผิวเข้มเรียกลูกค้าแว่วดังมาใส่หู
“ข้าวจี่มั้ยครับ ข้าวจี่ร้อนๆ ครับ” เสียงพ่อค้าผิวเข้มเรียกลูกค้าแว่วดังมาใส่หู
โดย..โจ เกียรติอาจิณ
นึกขำๆ ในใจ เอ! รึตาคนนี้จะเป็น “ผู้บ่าวข้าวจี่” ที่มีสาวๆ รุมล้อมในละคร “ต้มยำลำซิ่ง”
“ข้าวเหนียวจี่ไฟยิ่งหอม คงมีคนซอม ล่อม ลอๆ มีลุ้นแค่ไหนหนอเรา คงต่อคิวยาว จ่อคอ จ่อคอๆ
ยิ่งเห็นคนอื่นเข้าใกล้ ทางเป็นไปได้ยิ่งมีไม่พอ เหมือนกลืนข้าวเหนียวติดคอ มองรักที่รอก็ยิ่งอึมครึม”
ดูไปดูมา ความหล่อก็ยังห่างไกลพี่ปอ (ทฤษฎี) อยู่มาก อะว่าแต่ที่ยั่วน้ำลายอยู่ใกล้ๆ นั้น มันก็คือข้าวจี่นั่นแหละ
หอมเด้ (หอมจริงๆ) ข้าวจี่พี่แกส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ลองจินตนาการตามนะ ข้าวเหนียวจี่กับไฟร้อนๆ กลิ่นไหม้อ่อนของข้าวเหนียว ใครเล่าจะอดใจไหว ใช่เปล่า?
ว่าแล้วก็ขอกัดสักคำหน่อยเถอะ
อืมมมมม์ รสชาติเหมือนแม่ทำให้กินเปี๊ยบ ข้าวจี่ฝีมือแม่ กินทีไรก็อบอุ่นใจ แถมช่วยคลายหนาวได้นักแล
ใครจะคุ้นเคยข้าวจี่ดีเท่าคนอีสานเป็นไม่มี คอนเฟิร์มว่า ถ้าประกาศตนเป็นคนอีสานแท้ ย่อมต้องผ่านการลิ้มรสข้าวจี่มาแล้วทั้งสิ้น
ยิ่งเฉพาะหน้าหนาว ข้าวจี่อร้อยอร่อย อร่อยกว่าหน้าไหนๆ ข้าวจี่ร้อนๆ กินตอนเช้า หรือจะเป็นดึกดื่น ก็เอาอยู่!?! ทั้งความหิวและความหนาว
ที่หนองคาย (และที่อื่นในภาคอีสานก็คงคล้ายๆ กัน) จะทำข้าวจี่กินตอนนั่งผิงไฟ นั่งล้อมวงคนเยอะๆ ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนกลม หรือจะแบนๆ ก็ตามสะดวก เสียบไม้กระด้าม (พายคนข้าว) โรยเกลือ นำไปอังกับกองถ่าน พลิกหน้า พลิกหลัง พลิกไป พลิกมา ให้เหลืองพอเกรียม แบบนี้ก็กินได้แล้ว เรียกว่าข้าวจี่ออริจินัล
อยากเพิ่มความอร่อยและคุณค่า ก็ทาด้วยไข่ไก่ (ไม่นิยมไข่เป็ด เพราะเหม็นคาว) ยิ่งทาไข่หนาชั้นยิ่งอร่อย ข้าวจี่ทาไข่ห้อมหอม น่าหม่ำอีหลี รึถ้าอยากลองข้าวจี่หวาน ก็ต้องเป็นข้าวจี่ที่ครีเอตโดยคนเฒ่าคนแก่ สอดไส้น้ำตาลอ้อย อังให้เหลือง จะได้ข้าวจี่กรอบนอกเหนียวนุ่มในและหอมหวาน
ในวัฒนธรรมคนอีสาน ข้าวจี่มีความยิ่งใหญ่เกินคาด ไม่ใช่แค่ว่าเป็นของกินคลายหนาว แต่ยังได้รับการสืบสานเป็นงานบุญประจำปี “บุญข้าวจี่” เคยได้ยินบ้างมั้ยเอ่ย
ว่ากันตามความเชื่อคนอีสาน ข้าวจี่น่าจะเป็นอันเดียวกับขนมแป้งจี่ในสมัยพุทธกาล ที่นางปุณณะทาสีได้ทำถวายองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์เถระ ครั้นเมื่อวันเพ็ญเดือน 3 (ตรงกับวันมาฆบูชา) มาเยือน ก็เป็นวาระของงานบุญข้าวจี่ รุ่งเช้าชาวบ้านก็จะทำข้าวจี่ไปถวายพระ เสร็จพิธีทางสงฆ์ก็ต่อเนื่องเป็นงานรื่นเริงของชุมชน สนุกสนานบานตะไท
บางพื้นที่จัดกันอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นงานบุญเชิดหน้าชูตา เช่น ที่ ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย จัดบุญข้าวจี่มาหลายปีดีดัก แต่ละปีมีคนแห่ไปร่วมงานร่วมชิมข้าวจี่ล้นหลาม น่าชื่นใจแทนที่ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ได้ แต่ก็มีหลายแห่งเลิกจัดไป ไม่รู้ว่าไม่มีงบประมาณสนับสนุน หรือพลังศรัทธาโรยแรงลงตามกาล แต่น่าเสียดายจังที่คนอีสานรุ่นใหม่ไม่ได้เห็นบุญข้าวจี่
นอกจากข้าวจี่ที่ทำจากข้าวเหนียวแล้ว ที่หนองคายก็ยังมีข้าวจี่อีกแบบให้กิน เป็นข้าวจี่อิมพอร์ตจากประเทศลาว ที่ผ่องถ่ายวัฒนธรรมอาหารมาสู่พี่ไทย เว้ากันซื่อๆ ก็คือ “ขนมปังฝรั่งเศส” นั่นไง
ข้าวจี่แบบนี้จะมีไซส์เล็กกว่า ความแข็งน้อยกว่า แต่นุ่มกว่าขนมปังฝรั่งเศส ใส่ไส้สารพัด ไข่เจียว หมูยอ หมูหย็อง แตงกวา ราดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก กินเพลินๆ เดินไปกัดไป อร่อยล้ำไม่ต้องอธิบายให้เสียอารมณ์
เอ้าใครอยากลิ้มรสข้าวจี่แบบคนอีสาน (จริงๆ ที่ภาคเหนือก็มีข้าวจี่เหมือนกันนะ แต่สูตรต่างกันนิดหน่อย เพราะเขาใส่กะทิ) หรือข้าวจี่แบบคนลาว ก็ไม่ต้องดั้นด้นไปไกลถึงหนองคายหรอก เมืองกรุงฟ้าอมรก็มีขาย แถมขายได้ตลอดทั้งปีเสียด้วย มองๆ หาเจ้าที่มั่นใจว่าทำอร่อยและสะอาด จะเลือกที่หน้าตาคนขายก็ไม่ว่ากัน กินข้าวจี่ไป หว่านเสน่ห์ใส่คนขายไป (แบบน้องรุ้งระวี ศรีแอลเอ) เก๋จะตาย!!!
“หอมเด้ หอมกลิ่นข้าวจี่ แอบฮักผู้บ่าวข้าวจี่ บ่ฮู้ยังมี ทางเข้าใกล้ ได้บ่ มักเด้ มักเด้ มักเด้ ผู้บ่าวข้าวจี่ มักเด้ ผู้บ่าวข้าวจี่”


