ตำนานการตั้งพระราชาคณะ
ตามความเห็นของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ตามความเห็นของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
โดย..สมาน สุดโต
ความเห็นของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่พิมพ์ในคอลัมน์นี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องการตั้งพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ โดยกล่าวถึง พระราชาคณะตามแบบโบราณมีฐานะต่างกัน 4 อย่าง ส่วนการตั้งหรือเลื่อนนั้นจะแต่งตั้งขึ้นตามตำแหน่งที่ว่าง หลังจากเลือกรูปใดให้ดำรงตำแหน่งและฐานะสูงขึ้น ก็เลื่อนรูปที่รองให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ผู้ที่ได้รับเลือกให้มีฐานะสูงขึ้นอันดับแรกเป็นผู้รู้พระไตรปิฎก ส่วนมากเป็นพระเปรียญ ซึ่งเป็นฝ่ายคามวาสี ส่วนฝ่ายสมถะ หรือปัจจุบันคือวิปัสสนามีโอกาสเลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่เช่นกัน แต่ถือพัดงาสาน
สุดท้ายคือพระราชาคณะรามัญ หรือพระมอญ ส่วนมากเป็นฝ่ายคามวาสี แต่ปัจจุบัน ไม่ได้แบ่งส่วนนี้แล้ว
เพื่อให้เห็นภาพตามที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีความเห็นนั้น ขอทำความเข้าใจเรื่องการศึกษาปริยัติธรรมของสงฆ์ก่อนที่แบ่งเป็นแผนกธรรมและบาลี
แผนกธรรมนั้นมี 3 ชั้น คือนักธรรมชั้นตรีโท และเอก ส่วนแผนกบาลี หรือเปรียญมีตั้งแต่ประโยค 12 เปรียญธรรม 3 ประโยค ถึงชั้นสูงสุดคือเปรียญธรรม9 ประโยค
ผู้สอบได้เปรียญธรรมตั้งแต่ 3 ประโยคขึ้นไปถือว่าเป็นพระเปรียญ ชาวบ้านเรียกว่าพระมหา อันท่านมหานั้นถ้าได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคุณ หรือพระราชาคณะชั้นสามัญ จะมีอักษร สป. ต่อท้ายบัญชีรายชื่อ เช่นพระมหาขวัญ ป.ธ. 9 เป็นพระศรีวิสุทธิเมธี สป.ที่ต่อท้ายชื่อ (สป.) หมายถึงสามัญเปรียญ เช่นเดียวกันกับคำต่อท้ายชื่อเจ้าคุณที่ไม่เป็นเปรียญจะต่อท้าย ด้วย คำว่า สย. หมายถึงสามัญยก เช่น พระครูปลัดสุวัฒนเมตตาคุณ (พนมศักดิ์) ได้รับแต่งตั้งเป็นพระโพธินันทมุนี สย. แปลว่าเป็นสามัญยก ส่วนพระเถระฝ่ายสมถะ หรือวิปัสสนา จะมีคำว่า วิ.ต่อท้ายหมายถึงวิปัสสนา เช่นเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร ได้เลื่อนจากพระเทพภาวนาวิกรม วิ. เป็นพระธรรมภาวนาวิกรม วิ. เป็นต้น
สำหรับ วิ. นี้ใช้ต่อท้ายพระเถระทั้งที่เป็นเปรียญ และมิได้เป็นเปรียญ ก็ได้ ขอเพียงมีคุณธรรมวิเศษ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทางด้านสมถะ วิปัสสนา เท่านั้น


