ระวัง! ฉี่หนู...(มัก) มาหลังน้ำท่วม
ฉี่อะไรเอ่ย? น่ากลัวที่สุดในช่วงน้ำท่วม... “ฉี่หนู” ค่ะ ถูกต้องครับ...ฉี่หนู
ฉี่อะไรเอ่ย? น่ากลัวที่สุดในช่วงน้ำท่วม... “ฉี่หนู” ค่ะ ถูกต้องครับ...ฉี่หนู
โดย..วรธาร ทัดแก้ว
ฉี่อะไรเอ่ย? น่ากลัวที่สุดในช่วงน้ำท่วม... “ฉี่หนู” ค่ะ ถูกต้องครับ...ฉี่หนู ในที่นี้หมายถึงโรคชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “เลปโตสไปโรซิส” (Leptospirosis) ที่มักพบการระบาดในช่วงหลังน้ำลด แล้วตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงคือจังหวัดในภาคเหนือตอนล่างที่น้ำเริ่มลดแล้ว เช่น จ.นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พบผู้ป่วยโรคฉี่หนูประมาณ 14 ราย
เป็นสัญญาณเตือนว่า หากไม่รีบหาทางป้องกันแต่เนิ่นๆ โรคนี้อาจกลายเป็นปัญหาหลังน้ำลดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีหนูท่อจำนวนมาก
เจ้าตัวร้าย...เลปโตสไปโรซิส
โรคเลปโตสไปโรซิส เกิดจากเชื้อเลปโตสไปรา ใน Order Spirochaetales Genus Leptospira เชื้อก่อโรค คือ เลปโตสไปรา อินเทอโรแกนส์ (Leptospira Interrogans) ลักษณะของเชื้อเป็นแบคทีเรียรูปเกลียวสว่านซึ่งมีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแต่จะเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ขนาดของเชื้อมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.1 ไมครอน ความยาวประมาณ 620 ไมครอน เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว
อาการแสดงของผู้ป่วยมีหลากหลายตั้งแต่ไม่แสดงอาการ จนกระทั่งอาการรุนแรงถึงเสียชีวิต โดยมีอาการคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ หลายโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้สมองอักเสบ ไทฟอยด์ ริกเกตเซีย เมลิออยโดสิส โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มโรคที่นำโดยสัตว์ หรือกลุ่มอาการไข้ไม่ทราบสาเหตุ
ระยะฟักตัวของเชื้อประมาณ 220 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการแตกต่างกัน ขึ้นกับชนิดและปริมาณของเชื้อ อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง มักปวดที่น่องและโคนขา อาจมีไข้ติดต่อกันหลายวัน สลับกับระยะไข้ลด
ในรายที่มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการดีซ่าน มีเลือดออกตามอวัยวะภายในและตา เยื่อหุ้มสมองอักเสบ นอกจากนี้ยังมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ หายใจขัด ไอเป็นเลือด ตับและไตวาย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
การติดต่อของเชื้อเลปโตสไปรา อินเทอโรแกนส์ มาสู่คน มีสัตว์หลายชนิดเป็นรังโรค (Reservoir) เช่น หนู หมู วัว ควาย สุนัข แมว เป็นต้น เชื้อจะถูกขับออกมากับปัสสาวะสัตว์ แล้วปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น แหล่งน้ำขัง เชื้อโรคนี้เข้าสู่ร่างกายคนโดยการไชเข้าทางผิวหนังที่มีรอยถลอก หรือไชผ่านผิวหนังที่เปียกชุ่มจนยุ่ย เยื่อเมือก มีอุบัติการณ์สูงในผู้ที่สัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานานๆ เช่น ชาวไร่ ชาวนา กรรมกร คนจับปลา
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคฉี่หนูมักมีประวัติเสี่ยงสัมผัสกับสัตว์หรือสิ่งปนเปื้อนกับปัสสาวะของสัตว์ เช่น หนู วัว ควาย และปนเปื้อนในพื้นที่ที่มีน้ำขังหรือพื้นที่ชื้นแฉะ เช่น แอ่งน้ำ โคลน ท่อระบายน้ำทิ้ง แต่ในระยะหลังพบว่าบางพื้นที่เมื่อเกิดอุทกภัยจะมีรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อการเป็นโรคจึงได้แก่ผู้ที่ลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ เช่น หาปลาขณะน้ำท่วม เล่นน้ำ โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการไชเข้าทางบาดแผล รอยขีดข่วนที่ผิวหนัง ทางจมูก ปาก หรือเข้าทางเยื่อบุตาขณะที่แช่น้ำ หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง มีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิต
อธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำว่าผู้ที่มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะน่องและโคนขา ให้รีบไปพบแพทย์หรือหน่วยแพทย์ที่ออกมาให้บริการในพื้นที่โดยด่วน เพราะหากไม่รีบรักษาอาจมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
กำจัดขยะหลังน้ำลดป้องกันฉี่หนู
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า พาหะแพร่เชื้อโรคฉี่หนูในช่วงน้ำท่วมที่อันตรายที่สุดก็คือหนู ไม่ว่าหนูนาหรือหนูอยู่ตามท่อ ร่องน้ำ โดยเฉพาะหนูท่อในเขตเมืองอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีจำนวนมาก เวลาน้ำลดมักจะออกไปหากินเศษอาหารตามกองขยะแล้วฉี่ทิ้งตามทางเดิน ถ้าเดินไปย่ำน้ำตรงที่หนูฉี่โดยไม่สวมรองเท้าอาจได้รับเชื้อได้หากที่เท้าของเรามีแผล
“ถ้าไม่จัดการขยะ หนูท่อก็จะออกมากินเศษอาหารที่อยู่ในกองขยะและตามพื้น เพราะฉะนั้นการลดปริมาณหนูที่ต้องทำคือการกำจัดขยะ ไม่ว่าขยะเปียก เศษอาหาร ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ ที่อยู่อาศัยของหนู และลดอาหารของหนู ทุกคนต้องช่วยกัน ในช่วงสัปดาห์แรกของน้ำลงต้องจัดการขยะให้หมดภายใน 3 วัน 5 วัน ไม่อย่างนั้นจะป่วยเป็นโรคฉี่หนูกันเยอะ ประมาณว่าถ้าไม่ทำอะไรจะมีคนป่วยด้วยโรคนี้ประมาณ 1 หมื่นคน”
นพ.พรเทพ กล่าวว่า ขอให้ช่วยกันจัดการขยะให้ดี แยกขยะให้เป็นประเภท เช่น ขยะแห้ง ขยะเปียก ขยะรีไซเคิล เพื่อง่ายต่อการกำจัด ขยะรีไซเคิลเก็บให้เรียบร้อยไม่ให้เป็นที่อยู่ของหนู ขยะเปียก เศษอาหาร เก็บกวาดขยะใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น พร้อมดูแลที่อยู่อาศัยของตัวเองให้สะอาดเพื่อป้องกันหนูไม่เข้ามาอาศัย
นอกจากนี้ หลังน้ำลดให้สำรวจพื้นที่และปรับสภาพแวดล้อมให้สะอาด สวมรองเท้า ถุงมือยางในการเก็บกวาดบ้านเรือน ถนน และสาธารณสถาน เมื่อเสร็จภารกิจต้องรีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ ย่ำโคลนนานๆ เมื่อขึ้นจากน้ำต้องรีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ซับให้แห้งโดยเร็วที่สุด
“เวลาออกไปนอกบ้าน หากต้องเดินลุยน้ำบนพื้นที่ชื้นแฉะควรสวมรองเท้าบู๊ต หรือหุ้มเท้าด้วยถุงพลาสติกที่ป้องกันน้ำได้ ส่วนผู้ที่มีบาดแผลควรระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ห้ามเดินลุยน้ำโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องน้ำ” อธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำเตือน


