ธรรมะสำหรับโมหะจริต (ตอน 2)
วันนี้ขอต่อเรื่องธรรมะสำหรับแต่ละจริต ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดเทวดาเนื่องด้วย “มหาสมัยสูตร”
วันนี้ขอต่อเรื่องธรรมะสำหรับแต่ละจริต ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดเทวดาเนื่องด้วย “มหาสมัยสูตร”
โดยคราวที่แล้วยังไม่จบธรรมะสำหรับโมหจริต ซึ่งอยู่ในพระสูตรชื่อ มหาวิยูหสูตร ในขุททกนิกาย
ผู้ที่มีโมหจริต เป็นจริตที่มีปกติเป็นผู้ “มีปัญญาทางธรรมน้อย” จึงมักเชื่ออะไรที่ผิดๆ ได้ง่าย และบางพวกก็มักอาจเชื่อในมิจฉาทิฏฐิอย่างปักใจ คือ มีความเห็นที่ผิดแล้วยึดมั่นว่าสิ่งนั้นถูก ความเห็นนั้นถูก เมื่อตนเห็นเช่นนั้น ก็จะกล่าวว่า ผู้ที่เห็นต่างไป ยึดมั่นในความเห็นของตน
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเนรมิต “พุทธนิมิต” ให้เป็นผู้ตรัสถามปัญหาแล้ว “พระพุทธเจ้า” ทรงตอบเอง ในที่นี้นำมาเพียงสรุปย่อๆ ต่อจากคราวที่แล้ว ดังนี้
พระพุทธนิมิต ตรัสถามว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวธรรมใดว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง ส่วนสมณพราหมณ์เหล่าอื่นกล่าวธรรมนั้นแหละว่าเป็นธรรมเลวทราม วาทะของสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนี้ วาทะอย่างไหนจริงหนอ เพราะสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้แล เป็นผู้กล่าวอวดอ้างว่าตนเป็นผู้ฉลาด พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลายกล่าวธรรมของตนนั่นแหละว่าเป็นธรรมบริบูรณ์ แต่กลับกล่าวธรรมของผู้อื่นว่าเป็นธรรมเลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายต่างยึดถือทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ย่อมวิวาทกัน สมณพราหมณ์ทั้งหลายกล่าวทิฐิของตนๆ ว่าเป็นของจริง
พระพุทธนิมิต ตรัสถามว่า ถ้าว่าบุคคลพึงเป็นผู้เลวทราม เพราะการติเตียนของบุคคลอื่นไซร้ ใครๆ จะไม่พึงเป็นผู้วิเศษในธรรมทั้งหลาย เพราะว่าสมณพราหมณ์เป็นอันมาก ย่อมกล่าวธรรมของบุคคลอื่นโดยความเป็นธรรมเลวทราม ในธรรมของตน กล่าวว่า เป็นธรรมมั่นคง พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญหนทางเครื่องดำเนินของตนอย่างใด การบูชาธรรมของตนของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็ยังเป็นไปอยู่อย่างนั้น หากว่าวาทะทั้งปวงจะพึงเป็นของแท้ไซร้ ความบริสุทธิ์ของสมณพราหมณ์ผู้มีถ้อยคำต่างๆ กันเหล่านั้นก็จะเป็นผลเฉพาะตนๆ เท่านั้น
พระพุทธนิมิต ตรัสถามว่า ญาณที่ผู้อื่นจะพึงนำไปไม่มีแก่พราหมณ์ การวินิจฉัยในธรรม คือ ทิฐิทั้งหลายว่าข้อนี้แหละจริง ดังนี้แล้วยึดถือไว้ ไม่มีแก่พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นพราหมณ์จึงล่วงความวิวาทเสียได้ พราหมณ์นั้นย่อมไม่เห็นธรรมอื่น โดยความเป็นธรรมประเสริฐเลย พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า เดียรถีย์บางพวกกล่าวอยู่ว่า เรารู้ เราเห็น สิ่งที่เรารู้เราเห็นนี้เป็นอย่างนั้นแล ดังนี้จึงเชื่อความบริสุทธิ์ด้วยทิฐิ ถ้าว่าเดียรถีย์ได้เห็นแล้วไซร้ ประโยชน์อะไรเล่าด้วยความเห็นนั้นแก่ตน เพราะว่าเดียรถีย์ทั้งหลายก้าวล่วงอริยมรรคเสียแล้วย่อมกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยธรรมอย่างอื่น


