พระธรรมทูตแห่งสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เสนอแก้ปัยหาระดับชาติด้วยพุทธธรรม
ต้องเอาการศึกษา มีสัมมาปฏิบัติ จัดการเผยแผ่ ร่วมแก้ปัญหา กล้าคิดกล้าทำ ให้อภัย ใจเมตตา สามัคคี มีเอกภาพ รักใคร่กัน คิดถึงกัน นับถือกัน ช่วยเหลือกัน
ต้องเอาการศึกษา มีสัมมาปฏิบัติ จัดการเผยแผ่ ร่วมแก้ปัญหา กล้าคิดกล้าทำ ให้อภัย ใจเมตตา สามัคคี มีเอกภาพ รักใคร่กัน คิดถึงกัน นับถือกัน ช่วยเหลือกัน
โดย...สมาน สุดโต
ต้องเอาการศึกษา มีสัมมาปฏิบัติ จัดการเผยแผ่ ร่วมแก้ปัญหา กล้าคิดกล้าทำ ให้อภัย ใจเมตตา สามัคคี มีเอกภาพ รักใคร่กัน คิดถึงกัน นับถือกัน ช่วยเหลือกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคีกัน พอใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ข้อความดังกล่าวเป็นคำปฏิญาณจากพระธรรมทูตชาวไทย 33 รูป ที่ห้องอบรมชั้น 2 สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 วัดกุสินาราเฉลิมราชย์ กุสินารา โครักขปูร์ ประเทศอินเดีย ทุกเช้า ตลอดเวลา 99 วัน นับตั้งแต่ 12 ก.ค.–15 ต.ค. 2554
พระธรรมทูตชาวไทยจำนวน 33 รูป ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ให้เข้าอบรมโครงการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยไปศึกษาและปฏิบัติธรรมเชิงลึกในแดนพุทธภูมิ เพื่อนำความรู้และประสบการณ์กลับมาขยายและเผยแผ่แก่ชาวพุทธในประเทศไทยต่อไป
โพธิคยา 980
สุภชัย วีรภุชงค์ ในนามเลขานุการของชมรมโพธิคยา 980 และเลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 (9 หมายถึงรัชกาลที่ 9 ส่วน 80 หมายถึงพระชนมพรรษา 80 พรรษา) กล่าวถึงโครงการในรายงานที่ถวายพระธรรมวรนายก ประธานโครงการว่า โครงการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยไปศึกษาและปฏิบัติธรรมเชิงลึก ณ แดนพุทธภูมิ ได้ดำเนินต่อเนื่องกันมานับเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว โดยโครงการนี้เกิดขึ้นจากความศรัทธาของกลุ่มพระนวกะที่เดินทางมาบรรพชาอุปสมบท ณ แดนพุทธภูมิ ในโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติเนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเดลี ประเทศอินเดีย
การอุปสมบทดังกล่าวทำให้ผู้ระลึกถึงคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อศึกษาพระธรรมคำสอนและนำมาปฏิบัติจึงรวมตัวกันก่อตั้งเป็นชมรมโพธิคยา 980 ขึ้นทำโครงการนี้เพื่อพระพุทธศาสนา
โครงการได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระหลายท่าน เริ่มตั้งแต่ในส่วนงานเริ่มต้น อาทิ พระธรรมสุธี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พระธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะภาค 6 พระธรรมวิมลโมลี เจ้าคณะภาค 17 จึงเดินหน้าไปด้วยดี
พระธรรมวรนายก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา รับเป็นประธานโครงการตั้งแต่รุ่นที่ 1 จนถึงรุ่นที่ 3 พระราชรัตนรังษี หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดียเนปาล เป็นผู้อำนวยการสถาบันฯ คณะพระอาจารย์ประจำสถาบันรวมทั้งพระอาจารย์ที่ปรึกษา อาทิ พระครูปริยัติโพธิวิเทศ พระมหา ดร.ปรีชา กตปุญฺโญ พระครูสุนทรสุตสาร พระครูวิจิตรธรรมาภิยุต พระมหาไพฑูรย์ ชาตเมโธ เป็นต้น ช่วยในการบริหารสถาบันให้เดินหน้าโดยไม่มีอุปสรรค
นอกจากนี้ ยังมีพระอาจารย์และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้เข้าร่วมถวายความรู้พระธรรมทูตหลายท่าน
ส่วนหลักสูตรในการศึกษาอบรม มุ่งเน้นการศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎกและการศึกษาเชิงปฏิบัติการ ณ สถานที่จริงในพระพุทธประวัติ ตามแนวทางในหลักสูตรพุทธภูมิศึกษาของสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ที่ต้องการให้พระธรรมทูตได้ใช้ความรู้ความสามารถในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเชื่อมั่นและมีความชำนาญ จนกระทั่งปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้
นอกจากหลักสูตรดังกล่าว ก็มีการเพิ่มเติมความรู้โดยนำพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม มาศึกษาวิเคราะห์ให้เหมาะแก่การแก้ปัญหาและเสริมประโยชน์ เพื่อช่วยยกระดับจิตใจให้แก่ชาวพุทธเถรวาททุกภาคส่วน และเพื่อนำคำสอนของพระพุทธองค์มาเป็นภูมิคุ้มกันภูมิภาคเอเชียให้มีความสงบสันติ เจริญรุ่งเรืองตามรอยบาทพระศาสดา
นอกจากนี้ ทางสถาบันยังจัดให้มีรายวิชาอื่นที่ช่วยหนุนเสริมให้การอบรมพระธรรมทูตในครั้งนี้ครบประโยชน์ยิ่งขึ้น โดยถวายความรู้พื้นฐานภาษาฮินดี วัฒนธรรมวิถีชีวิตและประเพณีของชาวอินเดีย พุทธศิลปะในสถาปัตยกรรมไทย และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางวิทยุ เป็นต้น
ผลจากการศึกษาและปฏิบัติธรรมเชิงลึกในรุ่นที่ 3 นี้ พบว่าคณะพระธรรมทูตได้รับความรู้ความเข้าใจและมีความซาบซึ้งในพุทธจริยาวัตรของพระบรมศาสดาเป็นอย่างยิ่ง จึงสรุปในเบื้องต้นได้ว่า การจัดโครงการในครั้งนี้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายในระดับหนึ่ง ส่วนที่บกพร่องจะนำไปปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แก้ปัญหาระดับชาติด้วยพุทธธรรม
ก่อนที่โครงการจะสิ้นสุดวันที่ 15 ต.ค.นั้น ทางสถาบันได้จัดพิธีปิดโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2554 โดยมีพระธรรมวรนายก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธาน ฝ่ายที่ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน ได้แก่ พระราชราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ สุภชัย วีรภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ร่วมด้วย
ในการนี้สถาบันนิมนต์พระ 4 รูปให้เป็นตัวแทนพระธรรมทูต มาเสนอวิสัยทัศน์ในหัวข้อ สร้างสัมพันธภาพ เชื่อมชาติด้วยพุทธธรรม โดยยึดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ศึกษามาตลอดไตรมาสมาอธิบายขยายความ
พระครูสุตวรากร รองเจ้าคณะอำเภอพิมาย เจ้าอาวาสวัดหนองระเวียง จ.นครราชสีมา ตัวแทนพระธรรมทูตรูปที่ 1 พูดถึงโอกาสที่ได้มาศึกษาอบรมครั้งนี้ ทำให้ได้อ่านและค้นคว้าพระไตรปิฎก นอกจากการเรียนและอบรมแล้วยังได้ปฏิบัติธรรม เช่น เดินจงกรมตลอด เมื่อไปบำเพ็ญภาวนายังสาลวโนทยาน ที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน มีความรู้สึกสุดที่จะบรรยาย บางครั้งน้ำตาไหล น้อยใจที่เกิดมาไม่ทันพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกันกับที่ไปบำเพ็ญภาวนาที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาชนะมาร ทำให้เห็นความเพียรพยายามในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากสุดประมาณ
ส่วนธรรมเพื่อสร้างสัมพันธภาพนั้น ท่านเสนอเรื่องทาน โดยบอกว่าทานการให้ว่าสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ตรงกันข้ามกับความตระหนี่ที่ไม่ใช่สร้างปัญหาในชาตินี้ แต่ยังเป็นวิบากกรรมตามไปในภพในชาติต่อๆ ไป แม้กระทั่งจะดับขันธ์และหมดกิเลสก็ยังตามไปไม่ลดละ ท่านสรุปว่า ทาน คือ การให้เป็นการแก้ปัญหาต่างๆ เพราะผู้ที่ให้ทานคือผู้สร้างบารมี
พระมหาวิสูตร วิสุทธิปญฺโญ ป.ธ. 9 ป.โท อาจารย์ใหญ่สำนักเรียนวัดนิมมานนรดี ภาษีเจริญ เสนอเรื่องขันติธรรม ว่าจะเป็นเครื่องมือป้องกันความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ท่านยกตัวอย่างขันติธรรมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ในโอวาทปาติโมกข์ และตอนที่โทณพราหมณ์ขอให้กษัตริย์ทั้งหลายรำลึกถึงขันติธรรม ทั้งนี้เพราะกษัตริย์จาก 7 เกณฑ์กองกำลังมาบีบเมืองกุสินารา ให้แบ่งพระบรมสาริกธาตุไปบูชาบ้าง กษัตริย์ที่มีอารมณ์สงครามจึงเรียกสติคืนมา สถานการณ์จึงสงบเรียบร้อย นี่คือความยิ่งใหญ่แห่งขันติธรรม ที่เป็นบรมธรรม ดังที่พระองค์ตรัสในโอวาทปาติโมกข์นั่นแล
พระครูปลัดอภัย สุภาจาโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเจ้าคณะตำบลอำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ก็เล่าเรื่องความสำคัญของอปริหานียธรรมว่าเป็นธรรมที่ช่วยรักษาความสามัคคี ถ้าขาดความสามัคคีเมื่อไร หายนะมาเยือนเมื่อนั้น ดังที่กษัตริย์ลิจฉวี แห่งแคว้นวัชชี เคยเสพสุขจากความสามัคคีตลอด แต่พอหูเบา ได้ฟังการยุแหย่จากวัสสการพราหมณ์ ก็แตกสามัคคี หายนะก็มาเยือนทันที
พระเฉลิมชาติ ชาติวโร วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต ป.โท จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดชลประทาน ได้พูดถึงความยิ่งใหญ่ของระพุทธศาสนาว่ามีมากถึงขนาดที่ประชุมของ ICARUS ที่สวิตเซอร์แลนด์ ประมาณ 200 คน ลงคะแนนให้พระพุทธศาสนาเป็นที่หนึ่งในโลก เพราะไม่เคยมีความรุนแรง และไม่เคยทำสงครามกับใคร
ส่วนการสร้างสัมพันธภาพ เชื่อมชาติด้วยพุทธธรรม ท่านเสนอว่าเบญจศีลสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้ เพราะศีลถ้ารักษาดีแล้ว จะไม่มีการเบียดเบียน มีเมตตาต่อกัน ให้เกียรติ เคารพสิทธิของกันและกัน มีสัจจะ และมีสติเสมอ เมื่อรักษาศีล ศีลย่อมรักษาท่าน เช่นเดียวกับธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม
กัมพูชาขอพระธรรมทูต
สุภชัย ในฐานะเลขาธิการสถาบันและผู้สนับสนุนโครงการ ได้กล่าวหลังจากฟังพระคุณเจ้าที่เป็นพระธรรมทูตแสดงวิสัยทัศน์ว่ารู้สึกมีความสุขที่พระคุณเจ้าสามารถใช้ธรรมะมาแก้ปัญหาระดับชาติได้ ทั้งนี้เพราะประเทศเพื่อนบ้านของไทยมองไทยในสายตาที่ไม่ไว้วางใจมานาน ถ้าไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุดจะเกิดความเสียหาย จึงเห็นแต่ศาสนาพุทธที่ประเทศไทยและเพื่อนบ้านนับถือเท่านั้น จะเข้ามาสร้างความเข้าใจระหว่างชาวพุทธด้วยกันได้
บทบาทพระธรรมทูตที่มาอบรมที่ประเทศอินเดีย และกลับไปขยายผลในประเทศไทยนั้น สุภชัย ซึ่งมีธุรกิจในประเทศกัมพูชาด้วย บอกในที่ประชุมว่า สมเด็จพระสังฆราชในประเทศกัมพูชา ทั้งมหานิกาย และธรรมยุต มีความประสงค์จะให้พระธรรมทูตไทยไปช่วยอนุเคราะห์ประชาชนชาวพุทธในประเทศนั้นเช่นกัน สุภชัยจึงรับมาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินการต่อไป
สุดท้ายพระราชรัตนรังษีในฐานะผู้อำนวยการสถาบันกล่าวสัมโมทนียกถา ยกย่องทั้งฝ่ายผู้สนับสนุนที่นำโดย สุภชัย วีรภุชงค์ และพระธรรมทูตที่ได้รับการคัดเลือกมาเข้าอบรมว่าช่วยให้สังคมมองพระสงฆ์ในทางชื่นชมมากยิ่งขึ้น เพราะพระสงฆ์ที่เข้าอบรมมีปฏิปทาเป็นไปตามที่สังคมปรารถนา ดังที่พระอัสชิมีปฏิปทาดึงดูดปัญญาชน เช่น พระสารีบุตร เป็นต้น


