ขัน-มันส์-ฮา ญี่ปุ่นในสายตา ‘อรรถ บุนนาค’
ความขัน ความมันส์ และความฮา (อ้อยังมีความบ้าด้วยนะ) มันก่อตัวตั้งแต่บรรทัดแรกที่เราเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
ความขัน ความมันส์ และความฮา (อ้อยังมีความบ้าด้วยนะ) มันก่อตัวตั้งแต่บรรทัดแรกที่เราเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
โดย..วิชช์ญะ ยุติ
ไล่เรียงจากคำนำ ขันนิดๆ มันส์หน่อยๆ ฮาน้อยๆ แล้วค่อยไต่ระดับไปในโทนเดียวกัน จนถึงขั้นพีคกับเนื้อหาที่มีประมาณ 18 เรื่อง โดยแต่ละเรื่องก็ล้วนแต่เกี่ยวพันกับประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่น และลูกครึ่งญี่ปุ่นไทย ซึ่งก็คือผู้เขียน “อรรถ บุนนาค” นั่นเอง
ชื่อก็ไม่ได้บ่งบอกหรือพะยี่ห้อเป็นหนังสือขายหัวเราะสักหน่อย แต่ทำไม๊ทำไม “ญี่ปุ่นได้อีก” (แพรว สนพ.) ถึงได้อ่านไปก็ขันไป ยิ่งอ่านก็ยิ่งมันส์ ยิ่งอ่านก็ยิ่งฮา เพลินครับเพลิน ยิ่งตอนที่ต้องนั่งรอใครนานๆ เพลินจนลืมว่าตัวเองกำลังรอใครอยู่เลยแหละ (ไม่เชื่อลองอ่านดูสิ)
จุดเด่นของหนังสือหนา (แค่) 135 หน้า สะดุดตาด้วยปกน่ารักคิขุ คงจะอยู่ที่ลีลาการเขียน ประหนึ่งเหมือนผู้เขียนมาเล่าให้ฟังข้างๆ หู ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง บวกอารมณ์เย้ยและจิกกัดพอให้เลือดไหลซิบๆ แสบๆ คันๆ
“ยอมรับนะครับว่า เป็นคนเยอะ (?!?) เยอะเรื่องสำนวนครับ ไม่หมดกันง่ายๆ หรอก คนอื่นอาจจะมีปัญหาหมดมุข แต่เราไม่เป็นนะ ให้เขียน 2 หน้า A4 นี่ เราไม่พอนะ (หัวเราะ) เพราะส่วนตัวเราเป็นพวกชอบมีสร้อยคำ วื่นวือออกทะนู่นก่อนจะวกเข้าเรื่อง”
อีกอย่างคือเขาย่อยข้อมูลหนักๆ ทั้งด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชาติญี่ปุ่น ให้กลายเป็นเรื่องเหะหะพาที เข้าใจง่าย โดยไม่ทิ้งหัวใจสำคัญที่อยากจะบอกผู้อ่าน
กิโมโน ชาเขียว ซูชิ มนุษย์แมนนวล ผู้ชายเข้าครัว ป็อปคัลเจอร์ญี่ปุ่น มารยาจริตของสาวซากุระ รถไฟในโตเกียว เหล่านี้ถูกหยิบยกมาเล่าโดยปลายปากกาของอรรถ ผ่านภาพประกอบกระจุ๋มกระจิ๋ม (ฝีมือการวาดของ สายฝน ทากาโอกะ) รวมทั้งอีกหลายๆ เรื่องที่คุณจะต้องร้องอ๋อและร้องเหรอ (เพราะคำบางคำก็เชียนและออกเสียงต่างจากที่เคยได้เจอและได้ยิน)
“คนอื่นเขาจะเขียนเรื่องญี่ปุ่นย๊ากยากนะ เราก็อยากเขียนอะไรที่ง่ายๆ สนุกๆ บ้าง ซึ่งโจทย์ตอนแรกมันคือคอลัมน์ในนิตยสาร (จีเอ็มพลัส) ไงครับ เลยคิดว่าไม่ควรจะเป็นเรื่องยากหรือวิชาการเกินไป คอนเซปต์มันก็ออกมาประมาณว่าเรื่องญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักใกล้ชิดและคุ้นเคย แล้วเอามันมาอธิบายอีกมุมหนึ่งในแบบของเรา”
อรรถเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นไทย (แม่ญี่ปุ่นพ่อไทย) เขาโตที่เมืองไทย เรียนมัธยมและปริญญาตรีที่เมืองไทย ก่อนจะโบยบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ความเป็นญี่ปุ่นกับความเป็นไทย จึงมีอย่างละครึ่ง พอมาจับงานเขียนก็ทำให้มีมุมมองที่สะท้อนภาพ 2 วัฒนธรรมได้ค่อนข้างกลมกลืนและกลมกล่อม ยิ่งเฉพาะการเปรียบเปรย มักจะแฝงซึ่งอารมณ์ขันมันส์ฮา โดยมีกลิ่นอายความเป็นตลกร้ายเจือปนไว้ด้วย
“ผมไม่อยากตัดสินใจว่าการเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นไทยแล้วจะได้เปรียบกว่าคนไทยแท้ๆ เอางี้ดีกว่า ผมว่ามันมีทั้งได้เปรียบในบางเรื่องและก็เสียเปรียบในบางเรื่อง อย่างตอนเด็กๆ ผมว่าผมเรียนรู้ที่จะเป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์ทั้งฝั่งญี่ปุ่นและฝั่งไทย มันเหมือนมีหน้าที่เป็นแค่ผู้ชม ซึ่งผมมองว่าสนุกดีนะ พอมาเขียนหนังสือ ก็เป็นโชคดีที่เราสามารถจะนำสิ่งที่เราเฝ้าสังเกตการณ์ หรือชมมาโดยตลอดมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราว โดยไม่ลืมที่จะสอดแทรกมุมมองของเราเข้าไปในงานเขียนแต่ละชิ้นได้อย่างเต็มที่”
“ญี่ปุ่นได้อีก” มีไว้ติดกระเป๋าไม่เสียหลาย จะติดไว้บนชั้นหนังสือที่บ้าน หรือที่ห้องสมุดก็ตามสะดวก ไม่ซื้อก็ยืมเพื่อนอ่านได้ ไม่ได้อ่านก็ไม่หมายความว่าจะไม่เป็นคนป็อปนะ (จ๊ะ) แต่อ่านไว้ก็จะได้รู้อะไรๆๆๆ อีกตั้งแยะเกี่ยวกับความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่คนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ รู้ อืม แต่รู้ไม่หมดและรู้ไม่จริง ...@
(หมายเหตุ : ตามอ่านงานเขียนของ อรรถ บุนนาค ได้ใน 2 คอลัมน์ฮิตใน 2 นิตยสารฮอตวอลลุ่ม (My Favorite Things) กับอิมเมจ (Mannerism) ส่วนพ็อกเกตบุ๊กที่วางแผงไปก็มี ความสุขของขนมแพรว สนพ. Mannerism สมบัติผู้ดี 24 สาแหรกสนพ. ฟรีฟอร์ม Mean Man ผู้ชายตัวร้าย ใครๆ ก็หลงรักสนพ. ฟรีฟอร์ม งานแปล Hibi Power 8 พลัง เสกหนึ่งวันธรรมดากลายเป็นวันพิเศษสนพ. อมรินทร์ HowTo)


