สัมผัส (แผ่ว) ล้างโลก Contagion
โดย...แหนง-ดู
โดย...แหนง-ดู
หลังดู Contagion จบเด็กวัยรุ่นแถวหลังตัดพ้อเพื่อนให้ได้ยินถึงหูว่า “กรูบอกแล้วให้ดู Car 2...”
แหม ... ความจริงก็คือว่า หนังมันคนละแนว คนละอารมณ์เลยนะคะน้อง ชื่อผู้กำกับเขาก็ประกันอยู่แล้วว่า เครียดค่ะ!!!
สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจาก Sex, Lies, and Videotape ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลปาล์มทองคำในปี 1989 หลังจากนั้นก็เกิดๆ ดับๆ กับหนังอีกหลายเรื่องก่อนจะถึงปี 2000 เมื่อเขาประสบความสำเร็จสุดๆ กับหนัง 2 เรื่อง คือ Erin Brockovich และ Traffic โดยเรื่องหลังนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครอง และปีนี้เขากลับมากับโปรเจกต์สุดซีเรียส Contagion
หลังเดินทางกลับจากไปทำงานที่ฮ่องกง เบธ เอ็มฮอฟฟ์ (กวินเนธ พัลโทรว์) เสียชีวิตกะทันหัน สาเหตุเพราะเชื้อไวรัสที่ยังไม่สามารถระบุสายพันธุ์ ไม่กี่วันต่อมาลูกชายของเธอก็ตายตามกันไป เหลือเพียงมิตช์ (แมตต์ เดมอน) ผู้เป็นสามีที่รอดเพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันไวรัส และลูกเลี้ยงที่บังเอิญไม่ได้อยู่บ้านช่วงนั้น
เมื่อเชื้อโรคเริ่มแพร่กระจาย ทั้งหมอและเจ้าหน้าที่หน่วยงานป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกาก็เผลอไผลปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานหลายวัน กว่าจะรู้ตัวและตระหนักถึงพิษภัยและความรุนแรงของไวรัสชนิดนี้ แล้วจึงค่อยลงมืองมหาเงื่อนปมกำเนิดทำความรู้จักกับเชื้อและหาหนทางต่อสู้ เวลาผ่านไปหลายเดือนกว่าพวกเขาจะค้นพบเค้าเงื่อน ถึงตอนนั้นเชื้อโรคก็ได้แพร่กระจายไปสู่คนทั่วโลกโดยผ่านการสัมผัส ยิ่งมีคนติดเชื้อมากขึ้น ระเบียบสังคมก็กระเจิดกระเจิงกระจัดกระจาย ผู้คนเริ่มวิตกกังวลและบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่จึงต้องทำงานแข่งกับเวลาและความเป็นความตายของคนทั่วโลก รวมทั้งของตัวเอง
เวลาชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไปอย่างเคร่งเครียดและเคร่งขึงอย่างที่คาดหวัง (อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ...) ก่อนจะออกจากโรงมาพร้อมความวิตกจริตกลัวเชื้อโรค (ยี้...) Contagion เป็นหนังวิทยาศาสตร์แบบ “ซูเปอร์ซีเรียส” โดยไม่ต้องมี “ซูเปอร์ฮีโร่” ผสมกับความเป็นทริลเลอร์ระดับ “เมตาทริลเลอร์” ไม่ธรรมดาๆ
เริ่มเรื่องมาอย่างข้นเข้ม หนังดำเนินเรื่องเร็วพอๆ กับการกระจายของเชื้อโรค ก่อนจะอ่อนแรงมุดลงดิน ทำให้คนดูตั้งคำถามเกี่ยวกับพล็อตเรื่อง ที่ยุ่งยากซับซ้อนแต่เหมือนจะปราศจากเป้าหมาย รวมทั้งคาแรกเตอร์ตัวละครที่ค่อนข้างอ่อน และไม่ชัดเจน ดาราดังมากมายที่ร่วมแสดงช่วยดึงดูดความสนใจได้มาก บทบาทของพวกเขาถูกแจกจ่ายออกไปเพื่อเชื่อมประสานเรื่องราว โชคดีที่ยังมีตัวละครซับซ้อนต้องค้นหาอย่าง เบต เอ็มฮอฟฟ์ (กวินเนธ พัลโทรว์) อยู่ในเรื่องบ้าง แม้บทจะไม่เอื้อไม่ส่งเท่าไหร่ แต่นักแสดงชั้นแนวหน้ากลุ่มนี้ก็ยังไว้ฝีมือสมชื่อชั้น
หากจะหาแง่มุมแบบหนังดราม่าซาบซึ้งดึงดูดใจนั้นอาจจะหาได้ยาก ทั้งเรื่องถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของหนังสารคดี ภาพสวยงามเยี่ยมยอด มีความเหมือนจริงสูงสุด ผสมกับบางส่วนที่มาในอารมณ์หนังเชื้อโรคเกรดบี เผินๆ ก็ดูคล้ายกับ Outbreak ของ วูลฟ์กัง ปีเตอร์เสน ที่บวกลิงเข้าไป (อุ๊ปส์ ... สปอยล์ค่ะ)
โดยรวมดูร่วมสมัยเป็นหนังของทศวรรษที่ 21 ซึ่งมาพร้อมกับดนตรีประกอบที่เป็นเพลงเทคโนสุดล้ำ แต่...เชื้อโรคในหนังทำมั้ยทำไมถึงมีลักษณะคล้ายคลึงกับเชื้อซึ่งเราเคยเห็นในหนังยุค 1970 ยังไงยังงั้น
ถึงจะไม่ค่อยสนุกกับ Contagion นัก แต่เราก็ยังชื่นชมยกย่องกับฝีมือการกำกับอันเชี่ยวชาญและคมลึกของ สตีเฟน โซเดอร์เบิร์ก อยู่ไม่คลาย อ้อ ... สก็อตต์ ซี. เบิร์น คนเขียนบทก็ต้องยกนิ้วโป้งให้ด้วย
เอาเป็นว่า ... อย่างน้อยที่สุด หนังเรื่องนี้บอกเราว่า โลกนี้ยังต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจ เพราะมี “ภัย” อีกหลายรูปแบบซึ่งเราต้องเผชิญด้วยกัน ไม่ยกเว้นว่าจะเป็นประเทศ ชาติ ศาสนา หรือเชื้อสายใดๆ


