ลูกไม่ดื้อพ่อแม่ก็สุข
คำแนะนำน่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและช่วยทำให้เด็กเชื่อฟังมากขึ้น
คำแนะนำน่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและช่วยทำให้เด็กเชื่อฟังมากขึ้น
โดย...ชลธาร
เด็กในช่วง 2-12 ปี ว่ากันว่าจะซนและดื้อมากที่สุด พ่อแม่พูดอะไรมักไม่ค่อยเชื่อฟัง ยิ่งถ้าบอกว่า “อย่า” เด็กก็จะยิ่งอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น ยิ่งบังคับมากเท่าใดก็จะต่อต้านและอยากเอาชนะมากเท่านั้น ซึ่งสภาวะอย่างนี้เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่แน่นอน
ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ ให้ข้อมูลว่า การที่เด็กดื้อหรือซนเกิดจากหลายๆ ปัจจัย เช่น ที่ตัวของเด็กเอง เพราะเด็กที่เกิดมาแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน พื้นฐานทางด้านอารมณ์ก็แตกต่างไปด้วย ธรรมชาติของเด็กบางคนอาจมีจังหวะจะโคนของตัวเอง ซึ่งโดยพื้นฐานทั่วไปก็จะแตกต่างกัน แต่เด็กดื้อจะมีลักษณะที่เลี้ยงยาก มักมีอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่น ไวต่อสิ่งเร้า มีการกินการนอนที่ไม่เป็นเวลา ซึ่งตรงนี้แต่ละคนจะมีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ของตัวเอง
สาเหตุที่ทำให้ “เด็กดื้อ” คุณหมอระบุว่า วัยของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ เพราะปกติในช่วง 1-3 ขวบ เด็กจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เมื่อเขาสามารถก้าวเดินได้ก็เป็นธรรมดาที่อยากทำนู่นทำนี่ เพราะเขายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าสิ่งแวดล้อมที่ตนเห็นอยู่นั้นคืออะไร ที่สำคัญเด็กๆ ในวัยนี้มักคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด หากพ่อแม่จัดการไม่ถูกต้องอาจส่งผลทำให้เด็กดื้อต่อเนื่องยาวนานถึงระดับอนุบาลหรือประถมศึกษาได้
สำหรับคำแนะนำคุณพ่อคุณแม่ในการช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและช่วยทำให้เด็กเชื่อฟังมากขึ้น คุณหมอให้ใช้วิธีการ “ทำดีมีรางวัล” โดยการตั้งกฎและให้คะแนนกับลูกเพื่อนำไปสู่การให้รางวัล ไม่ยาก 18 วิธี ดังนี้
1.แนะนำโปรแกรมในแง่บวก เช่น ควรบอกเด็กว่า อยากช่วยให้เขาทำงานได้ทัน ไม่ต้องถูกว่าหรือบ่น เป็นต้น
2.ทำรายการสิ่งที่เขาต้องปฏิบัติ ไม่ให้ยาวเกินไป ไม่จุกจิกเกินไป
3.ทำรายการรางวัลให้เยอะเข้าไว้ (มากกว่า 15 รางวัล) เช่น ดูหนัง เล่นเกม ดูโทรทัศน์ ให้เขามีโอกาสได้รางวัลทันทีจากสิ่งในชีวิตประจำวัน และควรรวมการเพิ่มค่าขนมให้เด็กไว้ในรางวัลเสมอ
4.ให้เด็กมีสิทธิได้รับเกือบทุกวัน อย่างน้อย 1 ใน 3 ของรางวัลที่ตั้ง
5.ใช้เหรียญรางวัลหรือนับคะแนนดี หากเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ไม่ควรใช้วิธีสะสมนี้ เด็กอายุ 4-7 ขวบ ให้สะสมเหรียญหรือไพ่แทนคะแนน ส่วนเด็กอายุ 7 ขวบขึ้นไป ให้เก็บสะสมแต้มลงสมุดเหมือนเงินฝากดีกว่า
6.ให้เหรียญหรือแต้มเท่าไหร่ดี สำหรับเด็กอายุ 4-6 ขวบ ควรให้ 1-5 เหรียญต่อรายการพฤติกรรม ส่วนเด็กอายุ 7-10 ขวบ ใช้ 5-25 เหรียญหรือคะแนนต่อรายการ และสำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 10 ขวบ ให้ 10-200 เหรียญ แต่อย่าจริงจังกับจำนวนเหรียญแต่ละครั้งเกินไป
7.รายการที่เป็นกิจวัตร ควรได้ทำทุกวัน รายการประจำวันควรได้รางวัล 2 ใน 3 ของรางวัลทั้งวัน ส่วนที่เหลืออีก 1 ใน 3 อาจมาจากรายการพิเศษ เช่น หากคะแนนเต็ม 30 คะแนนต่อวัน ควรได้ 20 คะแนนจากงานประจำ และสามารถแลกรางวัลในชีวิตประจำวันได้ เช่น ได้ดูโทรทัศน์เพิ่ม ส่วนอีก 10 คะแนนที่เหลือ ค่อยมาช่วยคำนวณว่ากว่าจะได้รางวัลใหญ่จะใช้เวลาเท่าใด
8.ให้โบนัส ถ้าตั้งใจดี ใส่ลงในข้อสุดท้ายของรายการตัวโตๆ ว่า “ตั้งใจและพยายาม” และ “โบนัส” ของเด็กว่า ไม่ใช่แค่ทำเสร็จให้ได้รางวัล แต่ถ้าพยายามและตั้งใจด้วย ผลงานดี ไม่บ่น ก็มีรางวัลพิเศษให้ด้วยการเพิ่มเหรียญตามแต่ที่พ่อแม่เห็นสมควร ช่วยให้ทั้งพ่อแม่และเด็กเห็นความสำคัญกับความพยายามและความตั้งใจ นอกไปจากความสำเร็จ
9.เด็กมีโอกาสแลกรางวัลประจำ จะทำให้เด็กอยากได้ อยากทำ 10.ให้เหรียญต่อเมื่อไม่ต้องเตือนซ้ำซาก พูดครั้งแรกก็ทำ แต่ถ้าต้องเตือนซ้ำก็อดได้ ถ้าเขาไม่ทำเลย เขาไม่มีโอกาสได้รางวัลในสัปดาห์แรก แต่ถ้าเฉยในสัปดาห์ที่ 2 เขาจะถูกปรับ 11.ให้เหรียญเมื่อทำดีได้ไม่อั้น เมื่อไรที่เด็กทำดี แม้จะไม่มีปรากฏในรายการ โดยเฉพาะเมื่อเด็กอาสาทำเองพ่อแม่ควรฉวยโอกาสทำเป็นเรื่องใหญ่ให้รางวัลทันที
12.พยายามงดการปรับในช่วงสัปดาห์แรกๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่เห็นว่าการให้รางวัลล่อใจเด็กมากเกินไปแล้วเด็กไม่ทำตาม จึงแก้ปัญหาด้วยการขู่หรือปรับเด็ก ซึ่งไม่ควรทำเพราะเด็กจะรู้สึกว่าโปรแกรมนี้เป็นการลงโทษมากกว่า
13.เมื่อต้องปรับให้ใช้กฎ 2 : 1 หลังจากสัปดาห์แรกไปแล้ว พ่อแม่จะเริ่มปรับหากเด็กไม่ทำตามที่บอก
“ควรเริ่มดังนี้ เมื่อหลังจากพ่อแม่พูดแล้ว 10 วินาที หากเด็กยังไม่มีท่าทีขยับจะทำ ก็จะถูกเตือนว่าจะอดได้เหรียญ และหากต้องสั่งครั้งที่สอง จะถูกปรับเหรียญจากบัญชีสะสมของเขา และหากต้องสั่งครั้งที่สามก็ควรแยกเด็กออกไปอยู่ในมุมสงบ ไม่มีสิ่งกระตุ้น (Time-out) เมื่อเริ่มลงโทษปรับ พ่อแม่ควรใช้กฎ 2 : 1 คือเหรียญรางวัลที่เด็กจะได้จากการทำดีควรเป็น 2 เท่า ของที่ถูกปรับไปใน 24 ชั่วโมงถัดมา ทั้งนี้เพื่อคงแรงจูงใจกับเด็กให้เห็นว่าเราอยากให้เขาทำดีมากกว่าการลงโทษเมื่อผิด”
14.พ่อแม่ควรระวังการเข้าสู่วังวนของการลงโทษ ซึ่งมักต่อเนื่องจากเมื่อพ่อแม่เริ่มลงโทษปรับ เด็กจะโกรธต่อต้าน พ่อแม่ควรลงโทษปรับเพียง 2 ครั้ง ถ้ามีกิริยาไม่ดี ก็เพิกเฉย แล้วส่งเด็กไปไทม์เอาต์แทน 15.พ่อแม่ควรมีจำนวนเหรียญรางวัลต่ำสุดในแต่ละวัน เนื่องจากพ่อแม่บางคน “หวง” รางวัลเกินไป และยังกระตุ้นให้พ่อแม่คอยมองหาพฤติกรรมดีๆ ของเด็กอยู่เรื่อยๆ ด้วย
16.ถ้าไม่ได้หรือไม่มีสิทธิได้ คือ เมื่อเด็กได้เหรียญสะสมไม่ถึงขั้นที่จะได้ของหรืออภิสิทธิ์บางอย่าง ก็ไม่ควรให้ แม้จะอาละวาดเพียงใด หรือต่อรองเพียงใด พยายามรักษาระบบไว้
17.ปรับปรุงรายการรางวัลทุก 2-3 สัปดาห์ โดยเฉพาะถ้าเห็นว่ารางวัลบางอย่างไม่ได้รับความสนใจจากเด็กเลย ควรหาสิ่งใหม่ที่จูงใจกว่ามาใส่แทน
ข้อสุดท้าย คือ เก็บสะสมคะแนนเพื่อออกจากระบบโปรแกรมนี้ พ่อแม่ควรใช้ระบบสะสมรางวัลอย่างเคร่งครัดอยู่ 6-8 สัปดาห์ ถ้าทำได้ดีจริงเด็กจะเริ่มเคยชินกับการปฏิบัติตัวเหล่านี้ เราอาจเริ่มถอนรายการพฤติกรรมบางอย่างออกโดยชมเขาว่าที่ผ่านมาทำดีมาก แต่เรายังจะสังเกตเขาอยู่ห่างๆ และเพื่อดึงแรงจูงใจของเด็กไว้ ภายในหนึ่งปี พ่อแม่ควรปรับปรุงโปรแกรมทั้งรายการพฤติกรรม และรางวัลหลายๆ ครั้ง
ทั้งหมดเป็นเคล็ดลับการช่วยให้ระบบทำดีมีรางวัลได้ผลยิ่งขึ้น ซึ่งก็คงเหมือนการปรุงอาหาร แต่ละบ้านคงมีวิธีปรุงให้รสชาติถูกปากสมาชิกครอบครัวต่างๆ กันไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยเด็กได้จริง เชื่อว่าจากเด็กที่ซุกซนไม่เชื่อฟังจะกลายเป็นเด็กน่ารักยอมเชื่อฟังและอยู่ในกฎกติกาขึ้นอีกเป็นกอง


