posttoday

คนเลวไม่เคยโง่

31 สิงหาคม 2554

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้พาคุณครูทั้งโรงเรียนวนิษาไปพักผ่อนประจำปี ที่ชายทะเล จ.ตราด

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้พาคุณครูทั้งโรงเรียนวนิษาไปพักผ่อนประจำปี ที่ชายทะเล จ.ตราด

โดย..หนูดี – วนิษา เรซ

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้พาคุณครูทั้งโรงเรียนวนิษาไปพักผ่อนประจำปี ที่ชายทะเล จ.ตราด เป็นที่สนุกสนานเฮฮา ทุกคนมีความสุขมากๆ เพราะว่าปีหนึ่งๆ จะได้ไปด้วยกันโดยไม่มีเด็กๆ แบบนี้เพียงสองครั้งเท่านั้นเอง

จริงๆ อาชีพครูเป็นหนึ่งในอาชีพที่หนักมากเลยนะคะ แต่ก็มีความสุขแฝงมาเสมอในรูปแบบของความชื่นใจ ความภูมิใจ และรอยยิ้มที่เด็กๆ มีให้เราทุกๆ วัน เป็นเจ้าของโรงเรียนนี่เรื่องชื่นใจเยอะค่ะ และของแถมอีกอย่างคือ การที่ได้เห็นเด็กๆ ทำพฤติกรรมแบบ “เด็กๆ” ที่ทำเอาเราขำเสมอๆ เช่น ล่าสุดเทอมที่แล้วมีลูกศิษย์วัยไม่ถึง 2 ขวบที่เพิ่งมาเข้าใหม่ของเรา ได้ประกาศศักดาเท่าที่เด็ก 2 ขวบจะประกาศได้ ด้วยการต่อรองกับคุณครูประจำชั้นแบบตรงไปตรงมาเลยว่า “คุณครูขา หนูจะไม่ร้องไห้ก็ได้ค่ะ แต่คุณครูต้องอย่าขัดใจหนูนะคะ” หนูดีประทับใจมาก อยากเห็นตอนโตจริงๆ ว่าจะเป็นสาวเปรี้ยวขนาดไหน ตัวเท่านี้ยังสามารถต่อรองได้ประเภทผู้ใหญ่ยังอาย และเธอไม่ร้องไห้จริงๆ ค่ะ

กลับมาจากเล่นน้ำชายทะเล เข้าสู่โลกของการอ่านหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ที่นำเด่นมาเลยก็มีข่าวการเงินและข่าวการเมือง ซึ่งสองเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงสารพัดเรื่องของชีวิตคนเมืองอย่างพวกเราแบบเลี่ยงไม่ได้ ทั้งราคาน้ำมัน ราคาอาหาร ราคาค่าแรงและเงินเดือน เรียกได้ว่า กระทบกับคนทุกระดับรายได้ และยิ่งมีเรื่องสีเสื้อเข้ามาเกี่ยวแล้ว ก็มักจะได้ยินคำพูดจากคนหลายๆ คน ฝากไปถึงนักการเมืองฝั่งที่ตัวเองไม่ชอบว่า “น่าเสียดาย ฉลาดแต่ไม่ใช่คนดี” ซึ่งหนูดีเองไม่มีสีเสื้อ และก็ทั้งชอบทั้งติหลักการของทั้งสองพรรคใหญ่ คือมีทั้งเรื่องที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยปะปนกันไปในนโยบายของทั้งสองพรรค แต่คำนี้สะดุดใจหนูดีค่ะ ไม่ใช่เรื่องการเมืองอย่างเดียวแต่ทุกๆ เรื่องเลย

คือ “คนเลวต้องโง่เสมอไปหรือ” หนูดีกลับมองในทางตรงกันข้ามว่า “คนเลวนี่ล่ะที่ต้องฉลาดมากๆ เลย” และมาถึงบทสรุปว่า “คนเลวไม่เคยโง่” ค่ะ

เหตุผลที่พูดแบบนี้ เพราะคุณผู้อ่านกำลังอ่านบทความของ “ผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านเรื่องอาชญากรรม” คนหนึ่งของประเทศไทยเชียวนะคะ ไม่ค่อยบอกใคร กลัวคนหาว่าซาดิสม์แต่จริงๆ แล้ว เวลาว่างๆ หนูดีชอบอ่านมากเลย พวกหนังสือรวม “100 อาชญากรรมโหดของโลก” หรือพวกหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการทำงานของอาชญากร อธิบายวิธีคิดของอาชญากรประเภทต่างๆ ยิ่งอ่านยิ่งทึ่งว่าคนกลุ่มนี้หาที่โง่ๆ ยากค่ะ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร จะมีการวางแผนอย่างดี มีทั้งแผนหนึ่ง แผนสอง แผนสาม ทำงานเป็นทีมก็เก่ง ยิ่งถ้าใครนิยมดูหนังประเภทแอ็กชัน ปล้นธนาคาร เรียกค่าไถ่ จะยิ่งต้องยกนิ้วให้กับการวางแผนและการทำงานของพวกเขา และลองนึกดูสิคะว่า พวกที่เราได้อ่านนี่คือ คนที่ “โดนจับได้” นะคะ เรายังต้องทึ่ง แต่สำหรับหนึ่งอาชญากรรมที่โดนจับได้ ย่อมต้องมีอีกเป็นสิบเป็นร้อยที่ไม่โดนจับ พวกนั้นไม่ยิ่งเก่งไปกว่าหรือ

ถ้าคนคนหนึ่งคิดจะทำอะไรที่ผิดกฎหมายเพื่อเงินหรือเพื่ออะไรก็ตาม เขาต้องฉลาดกว่าคนทั่วๆ ไปหลายๆ เท่า เพราะลองนึกดูนะคะ คนอย่างพวกเรา แค่ตั้งใจเรียนนิด ขยันท่องหน่อยก็สอบได้คะแนนดีๆ กันแล้ว และเมื่อทำได้ ใครๆ ก็ชม สังคมก็ยกย่อง เราก็จะเก่งกันแบบ “ง่ายๆ” แม้ต้องต่อสู้ แต่ก็เป็นการต่อสู้กับตัวเองเป็นหลักๆ ไม่ได้ต้องต่อสู้กับกระบวนการทางกฎหมาย หลบหนีตำรวจ หรือเตรียมการให้การกระทำเป็นความลับ เพราะฉะนั้นหากคนสองคนฉลาดเท่ากัน และคนหนึ่งเลือกไปทาง “สายปกติ” กับอีกคนเลือกไปทาง “สายอาชญากร” คนแรกนั้นแค่ใช้ความฉลาดระดับหนึ่ง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย เพราะสังคมเป็นใจให้อยู่แล้ว

แต่คนที่สอง ต้องเค้นเอาความสามารถออกมาทุกหยด เพื่อให้ประสบความสำเร็จได้ เส้นทางสองเส้นนี้ ความยากภายในนั้นเท่าๆ กัน แต่ทางหนึ่งนั้นมีสังคมเป็นเพื่อนมิตร อีกทางหนึ่งมีสังคมเป็นศัตรู แค่นี้ก็ดูออกง่ายๆ แล้วว่า ทางไหนง่ายกว่าทางไหนยากและซับซ้อนกว่ากันแน่

บางคนบ่นว่า “นักการเมืองนั้นฉลาดแต่เลว” คำนี้แรงนะคะ หนูดีว่าเป็นการไม่ยุติธรรมเกินไปหากจะมองแบบนี้ เพราะว่าไปแล้วทุกอาชีพมีคนไม่ดีค่ะ แม้แต่อาชีพดีๆ เช่น ครู แพทย์ นักบวช ฯลฯ ในอเมริกา เพื่อนฝรั่งหนูดีหลายๆ คนก็เลิกนับถือศาสนาไปเลย นับแต่มีข่าวบาทหลวงข่มขืนเด็กผู้ชายออกมามากมายเมื่อหลายปีก่อน ใครจะนึกคะว่า นักบวชซึ่งควรเป็นคนดีๆจะทำสิ่งแบบนี้ได้ หรือข่าวครูตีเด็ก บังคับให้เด็กเดินลุยน้ำตอนไปเข้าค่ายจนจมน้ำตายไปหลายคน หรือแพทย์ที่ลวนลามคนไข้

คนเหล่านี้ ทำอะไรผิดๆ แบบย่ามใจเพราะคิดว่า “ภาพคนดี” ที่ปกปิดตัวเองไว้จะทำให้ไม่โดนจับได้ ขณะที่คนที่เลือกเส้นทาง “ผิดๆ” จำนวนมาก เช่น ค้ายา เปิดบ่อน ฯลฯ กลับโดนจับได้น้อยกว่าเพราะว่าการระวังตัวอยู่ในระดับสูง การวางแผนต้องอยู่ในระดับ “ดีมาก” จึงจะสามารถประสบความสำเร็จ (ซึ่งแปลว่า “ไม่โดนจับ” ได้)

ตรงกันข้าม คนดี คนน่ารัก มักจะได้ “ตั๋วผ่าน” ในการทำอะไรไม่ฉลาดเยอะมาก เช่น ทำอะไรผิดนิดหน่อย คนรอบตัวก็จะรีบแก้แทนให้ว่า “แต่เขาเป็นคนดีนะ” ซึ่งแนวคิดนี้จะยิ่งไปตอกย้ำพฤติกรรมให้ “คนดีๆ” ทำอะไรที่ไม่ฉลาดได้ไปเรื่อยๆ โดยอาศัยความเป็นคนจิตใจดีบังหน้าเอาไว้ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ฉลาด แต่ในที่สุด ด้วย “Positive Reinforcement” หรือ “การกระตุ้นเชิงบวก” แบบนี้ ก็ไม่พ้นทำให้เกิดช่องว่างอย่างรวดเร็วในปรากฏการณ์ “คนดีไม่ฉลาด” และ “คนไม่ดีฉลาดเป็นกรด” หรือเกิดกลุ่มคนฉลาดแกมโกงขึ้นมาในสังคมมากมาย

หนูดีว่า สำคัญมากที่เราจะต้องไม่ทำให้ “ความดี” มาทำให้เราตาพร่า และยอมให้เกิดความไม่เป็นมืออาชีพหรือไม่เก่งขึ้นมาได้ในพฤติกรรมของคน ทั้งคนในองค์กรและนักเรียนของเรา เพราะนั่นเท่ากับเรากำลังทำร้ายสังคม ด้วยการทำให้คนไม่ดีเป็นคนฉลาด และเปิดโอกาสให้คนดีเป็นคนโง่ ซึ่งถ้าสังคมไหนเข้าสู่วัฏจักรนี้แล้วละก็ หนูดีว่า วิกฤตเห็นๆ เลยค่ะ

พูดแบบนี้ เพราะหนูดีเป็นครูด้วยคนหนึ่ง ไม่อยากเห็นเด็กๆ ของตัวเองโตขึ้นเป็นคนดีที่เป็นเหยื่อคนฉลาด แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราฝึกเด็กดีๆ ให้ฉลาดทันแกมโกงของคนจิตใจร้ายๆ ทุกคน เพราะในโลกทั้งปัจจุบันและอนาคต เราต้องการประชากรพิมพ์นิยมนี้มาก เพราะ “คนเลวไม่เคยโง่” ค่ะ และวันนี้ “คนดีๆ” ทั้งหลายตามทันพวกเขาหรือยัง
 

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา