สังคมแห่งคนบ้าจึงพบแต่เรื่องบ้าๆ รายวัน (ตอน ๒)
ปุจฉา : แต่ก่อนฝึกนั่งสมาธิ แล้วไปเจอเหตุการณ์ว่า
ปุจฉา : แต่ก่อนฝึกนั่งสมาธิ แล้วไปเจอเหตุการณ์ว่า
โดย..พระอาจารย์อารยะวังโส
“มีพี่อยู่คนหนึ่งไปนั่งสาวผ้าขาว พอสาวไปได้สักพัก” แม่ชีบอกว่า โอเค หลวงพ่อได้รับแล้ว สามารถต่อบุญได้แล้ว เอาบุญใหม่ต่อบุญเก่า ต่อไปจะมีชีวิตที่มั่งมี ร่ำรวย ก็เลยสงสัยค่ะ ว่า การนั่งสาวผ้าขาวก็สามารถต่อบุญได้แล้วเหรอค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำบุญกัน เดี๋ยวไปนั่งสาวผ้าขาวก็ต่อบุญเก่าบุญใหม่ได้ ตกลงเป็นอย่างไรค่ะ? มันเป็นอย่างนั้นเหรอค่ะ?
จาก Ton.grazie
“เวทนา... ซึ่งตราบใดที่ปล่อยให้จิตขาดสติปัญญา ไม่รู้จักคิดพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์นั้นๆ อย่างรู้คุณรู้โทษ รู้จริงรู้ปลอม รู้ประโยชน์ไร้ประโยชน์ ก็ย่อมยากที่จะยับยั้งชั่งใจให้จิตสงบนิ่งได้ เพื่อหยุดอยู่กับความคิด รู้จักพิจารณาเรื่องนั้นๆ อย่างมีสติปัญญา ซึ่งนั้นหมายถึงคุณภาพของจิตที่ตกต่ำไปจากมาตรฐานของมนุษย์ที่ประเสริฐ”
วิสัชนา : จากเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นเกลื่อนกลาดในเขตบ้านเมืองของเรา ก็คงเป็นเรื่องหนักใจ สาธุชนผู้ไม่อยากจะบ้าตามลัทธิบ้าที่แพร่ระบาดไปทั่ว จึงมีปุจฉาเข้ามา ซึ่งเชื่อว่าคงมีคำตอบอยู่แล้วว่า ...เรื่องการกระทำดังกล่าวนั้น คงไม่ได้เป็นสารประโยชน์ใดๆ ...ไร้ความเป็นจริง แค่เพียงอิงความคิดหาเหตุผล มันก็น่าจะจบการคิดพิจารณาแล้วว่า ควรเชื่อหรือไม่... แต่เมื่อมันเป็นปัญหาที่ผุดอยู่กลางสังคม สาธุชนผู้มีความสำนึก จึงทนเห็นทนดูไม่ได้ จึงปุจฉาเข้ามาถาม ทั้งนี้ก็คงเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องบ้าๆ ที่เกิดจากคนบ้ากลุ่มหนึ่งกระทำอย่างขาดสติปัญญา... และจะนำพาสังคมโดยรวมเสียหายไปด้วย โดยเฉพาะยิ่งสังคมกำลังอยู่ในยุคสติปัญญาถดถอย...
อาการขาดสติปัญญานี้แหละ ที่ทำให้มนุษย์เรากลายเป็นคนบ้า จิตสรีระแปรปรวน ทั้งนี้ ด้วยความพ่ายแพ้ต่อสิ่งเร้าที่เกิดจากอิทธิพลสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งจิตใจของเราเข้าไปยึดถือในอารมณ์ที่เกิดจากวัตถุนั้นๆ หรือเกิดจากสภาวธรรมในรอบตัวของเรา ไม่ว่าจะมากบุคคล สัตว์ สิ่งของ ต้นไม้ ใบหญ้า สายลม แสงแดด ต้นน้ำลำธารทั้งหลาย โดยเฉพาะจากบุคคล ซึ่งเป็นตัวเติมเร่งเร้าให้ผลิตความรู้สึกในมิติต่างๆ ได้ดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านกุศลธรรมอกุศลธรรม ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดการสร้างกุศลกรรมอกุศลกรรมได้ในทันที เช่น สมมติว่าเรากำลังนั่งปล่อยจิตปล่อยใจสบายๆ อยู่กับสายลมแสงแดด พอได้พบได้เห็นในเรื่องไม่น่าอภิรมย์ อัปมงคล หรือไม่ถูกใจ ขัดกับความรู้สึกของเรา เพียงชั่วอึดใจก็สามารถเปลี่ยนอารมณ์ที่สบายๆ ให้เป็นฉุนเฉียวเกรี้ยวโกรธได้อย่างเป็นธรรมดา
ทั้งนี้ เพราะสภาพจิตที่ขาดสติปัญญา จึงทำให้จิตของคนเรามีพฤติจิตเหมือนกับลิงชิงหลัก โลดแล่นกระโดดไปมาอย่างไม่รู้เบื่อและไร้เหตุผล ซึ่งไม่ได้แปลกเลยที่เป็ึนเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะธรรมดาของจิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ย่อมท่องเที่ยวไป อยากรู้ในเรื่องต่างๆ ของโลกนี้ อันมีเรื่องราวมากมาย สัพเพเหระมากเรื่องคณนา จึงเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยากในการจะไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น ด้วยจิตของคนเราเป็นธรรมชาติที่ดิ้นรนทะยานอยากไปตามสิ่งเร้าหรืออารมณ์ที่ยกขึ้นสู่จิต
อันเป็นวิถีธรรมปกติที่เรียกว่า เวทนา... ซึ่งตราบใดที่ปล่อยให้จิตขาดสติปัญญา ไม่รู้จักคิดพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์นั้นๆ อย่างรู้คุณรู้โทษ รู้จริงรู้ปลอม รู้ประโยชน์ไร้ประโยชน์ ก็ย่อมยากที่จะยับยั้งชั่งใจให้จิตสงบนิ่งได้ เพื่อหยุดอยู่กับความคิด รู้จักพิจารณาเรื่องนั้นๆ อย่างมีสติปัญญา ซึ่งนั้นหมายถึง คุณภาพของจิตที่ตกต่ำไปจากมาตรฐานของมนุษย์ที่ประเสริฐ จนต่ำชั้นเข้าสู่ระดับเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรกทั้งหลาย จึงให้มืดมัว มึนเมาอยู่กับความไร้สาระ ด้วยความวิปลาสคลาดเคลื่อนของจิต จึงให้นึกคิด ดำริพูด และกระทำอย่างวิปริต เฉกเช่น คนบ้าที่ขาดสติสัมปชัญญะทั้งหลาย
ประการสำคัญอันชวนคิด คือ ความวิปริตที่แผ่ซ่านไปในหมู่ชนผู้ประกาศตนเป็นผู้รู้บัณฑิตแบบโลกๆ ทั้งหลาย อันมีความเก่งกล้าสามารถในการคิด จัดการ ดำเนินการในเรื่องศิลปวิทยาการทางโลกได้เป็นอย่างดี ด้วยอาศัยความรู้ที่ร่ำเรียนมาทางโลก ซึ่งเป็นคนเก่ง พร้อมความสามารถ ที่สามารถก้าวสู่สังคมแห่งการยื้อแย่งได้อย่างองอาจหาญกล้า และนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จในอาชีวะแห่งตนได้อย่างน่าชื่นชม ยินดี ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด อันควรเป็นแบบอย่างของอนุชนรุ่นหลัง ด้วยอุปมาเหมือนการมองเหรียญหน้าเดียวของบุคคล ซึ่งย่อมไม่เห็นอีกด้านหนึ่ง จึงทำให้สังคมมีลักษณะความคิด มีทัศนะชีวิตแบบสุดโต่งไปด้านเดียว
โดยเฉพาะด้านการให้ความสำคัญทางวัตถุเป็นสำคัญ โดยไม่ไยดีต่อการให้คุณค่าทางจิตใจ อันเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งกว่า...ทุกๆ ด้าน ดังเช่น คติในพระพุทธศาสนาที่ให้คุณค่าความหมายของจิตใจไว้อย่างลึกซึ้ง เป็นสัจธรรม ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “สิ่งทั้งหลาย มีจิตนำหน้า มีจิตประเสริฐ สำเร็จออกมาจากจิต” พุทธศาสนาจึงมุ่งหน้าสู่การพัฒนาจิตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยกระบวนการศึกษา ๓ ขั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้


