Moral Quotient
วิธีละอาสวะ
วิธีละอาสวะ
โดย..คุณสลิล
ต่อจากเรื่องทุกข์ในคราวก่อน วันนี้ MQ ขอนำเรื่องของอกุศลประเภทหนึ่งที่เรียกว่า อาสวะ หรือเครื่องหมักดองที่เป็นเสมือนเหล้า คือคนดื่มมักไม่รู้สึกว่าเป็นอันตราย บางครั้งก็มีความสุขด้วยซ้ำ อาสวะก็มีลักษณะเหมือนกัน เพียงแต่เป็นการหมักดองไว้ในสังสารวัฏ เพราะเมื่ออาสวะเกิดขึ้นในใจเรามักไม่รู้ว่ามีอันตราย อาสวะมี 4 ประเภท เกิดขึ้นได้ทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจกับผู้ที่ไม่สำรวมระวัง
กามาสวะ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ชอบใจเพลิดเพลินใจในอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าพอใจ) ซึ่งมาปรากฏทางทวาร 6 ด้วยอำนาจความชอบใจในกาม
ภวาสวะ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ยินดีด้วยความปรารถนาในภพ ว่าเราจักได้สมบัติ เช่นนั้น เช่นนี้ ในสุคติภพ (เช่น อยากไปเกิดเป็นเทวดา เป็นต้น)
ทิฏฐาสวะ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ หรือว่าของสัตว์ (เช่น ยึดในความเป็นอัตตาตัวตน)
อวิชชาสวะ คือ ความไม่รู้ซึ่งบังเกิดพร้อมกับทั้งอาสวะทั้งหมด
การละอาสวะมี 7 วิธี การละบางวิธีก็เป็นการละตลอดไป การละบางวิธีก็เป็นการละชั่วขณะ หรือการป้องกันไม่ให้อาสวะเกิดในใจ
วิธีแรก เรียกว่า ละได้เพราะการเห็น ในที่นี้คือเห็นแจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง นั่นคือผู้ที่ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม ได้เห็นพระอริยบุคคลแล้ว ฟังธรรมแล้วบรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็จะละอาสวะได้ โดยละไปตามลำดับของพระอริยบุคคลที่สูงขึ้นไป จนละได้ทั้งหมดเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์
วิธีที่ 2 เรียกว่าละได้เพราะการสังวร คือ การสำรวมระวังในทวารทั้ง 6 เช่น สำรวมตาระวังไม่ไปดูสิ่งที่ยั่วยวนกิเลส ท่านเปรียบไว้เหมือนประตูเมืองที่ไม่รักษาไม่คุ้มครองให้ดี โจรย่อมเข้าไปลักสิ่งของได้ตามชอบใจ ผู้ที่มีศีลย่อมเสมือนกับคุ้มครองประตูไว้แล้ว แม้ภายในเมืองอาจไม่ได้คุ้มครองดี แต่เมื่อประตูเมืองปลอดภัยคนร้ายจากภายนอก ก็เข้าไปขโมยของไม่ได้
วิธีที่ 3 เรียกว่าละได้เพราะการพิจารณา คือการพิจารณาเสพ วิธีนี้ใช้กับสิ่งที่เราต้องใช้ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นต้น หากพิจารณาก่อนว่าเราใช้เพื่ออะไร เพื่อบรรเทาความหิว เพื่อกำจัดความหนาวร้อน เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย หากพิจารณาแล้วใช้อาสวะก็ไม่เกิด ส่วนผู้ที่ใช้หรือเสพสิ่งต่างๆ ในปัจจัย 4 เป็นต้น โดยไม่พิจารณาด้วยดี อาสวะย่อมเกิดขึ้นได้ เช่น เกิดความยินดีพอใจ หวงแหน สะสม ยึดว่าเป็นของเรา ต่างๆ เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้
วิธีที่ 4 คือ ละได้เพราะความอดกลั้น ในบางครั้งอาสวะพึงละได้ด้วยความอดกลั้น เช่น ความร้อน ความหนาว ความหิว กระหาย การถูกยุง ลม แดด และการถูกคำว่ากล่าวของผู้อื่น และการอดทนต่อความรู้สึกของตนเอง เช่น ความเจ็บปวด ความโกรธ เป็นต้น ผู้ที่ไม่พิจารณาด้วยดีแล้วไม่อดทนย่อมละความเพียร ทำอะไรไม่สำเร็จแม้ทำความดีเมื่อพบกับอุปสรรคก็ไม่อาจล่วงพ้นไปได้ เช่น บางครั้งเราย่อมประสบกับความหนาว ความร้อนที่เกินไปบ้าง หากไม่อดทนอาสวะย่อมเกิด บางคนไม่อดทนต่อถ้อยคำ ถูกคนด่าว่า อาสวะย่อมเกิดได้
วิธีที่ 5 คือ ละได้เพราะการเว้น ท่านเรียกว่าการเว้นรอบ คือ พิจารณาด้วยดีแล้วจึงหลีกหนี เช่น การเว้นจากที่อันตราย เว้นจากที่สกปรก การเว้นจากคนอันตราย คือไม่คบคนชั่วเป็นมิตร การเว้นจากที่ที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
วิธีที่ 6 คือ ละได้เพราะการบรรเทา คือเมื่อพิจารณาด้วยดีแล้ว ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทา เช่น เมื่อกามวิตกที่เกิดแล้ว ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมทำให้สิ้นสูญ การอดกลั้นความพยาบาทวิตก บรรเทาทำให้สิ้นสูญ เป็นต้น การบรรเทานั้น คือการทำให้อกุศลที่เกิดขึ้นแล้วในใจ (อกุศลวิตกต่างๆ) ให้หมดไปทีละน้อยๆ จนหมดสิ้นปราศจากไปจากใจ
วิธีที่ 7 คือ ละได้เพราะการอบรม คือพิจารณาด้วยดีแล้ว เจริญโพชฌงค์ คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เพื่อการบรรลุมรรคผล การอบรม คือเจริญธรรมฝ่ายดี ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ (การพิจารณาธรรม เลือกเฟ้นธรรม) ความเพียร ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา การเจริญโพชฌงค์นั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลือกเจริญธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจิตที่กำลังหดหู่และจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน ซึ่งใช้ธรรมะต่างกัน คือเมื่อจิตหดหู่ เหมาะที่จะเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ และปีติสัมโพชฌงค์ ส่วนเมื่อจิตมีลักษณะฟุ้งซ่าน ควรเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ส่วนสติสัมโพชฌงค์นั้นมีประโยชน์กับโพชฌงค์ทุกข้อ ผู้ที่แทงตลอดอริยสัจ 4 ย่อมตื่นจากความหลับด้วยอำนาจกิเลสที่นอนเนื่องอยู่
วิธีการที่สรุปย่อมาเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ปรากฏในพระสูตรชื่อ สัพพาสวสังวรสูตร


