หลวงตาปู่ศรี มหาวีโร อัตตมโน-ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน (1)
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สรรเสริญหลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สรรเสริญหลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด
โดย..ภัทระ คำพิทักษ์
ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสำนักพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่า “ท่านอาจารย์ศรีมีลูกศิษย์ลูกหามาก พระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของท่านก็มีอยู่ทั่วไป นอกจาก จ.ร้อยเอ็ด แล้วยังมีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ท่านนับว่าเป็นผู้มีวาสนากว้างขวางองค์หนึ่งที่หาได้ยาก
คำว่าวาสนานี้มิได้เกิดขึ้นลอยๆ หรือเสกสรรปั้นยอกันเกิดขึ้นได้ แต่ต้องเกิดขึ้นตามหลักธรรมชาติ แห่งบุญญาภิสมภารของท่านผู้สร้างบารมีมา เมื่อสร้างมากขึ้นๆ ก็ยิ่งเพิ่มบารมีขึ้นเต็มหัวใจ เต็มนิสัยวาสนา ไปสถานที่ใดก็มีคนเคารพนับถือ มีเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม กราบไหว้บูชา เป็นขวัญตา ขวัญใจ ไปได้ทุกแห่งหน เพราะอำนาจแห่งเมตตาธรรมที่ท่านปฏิบัติมาบรรจุอยู่เต็มหัวใจไปหมด
อำนาจแห่งเมตตาธรรมนี้เอง ทำความร่มเย็นให้แก่โลกทั้งสาม คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก หรือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้งสามนี้อยู่ใต้ร่มเงาแห่งเมตตาธรรมทั้งสิ้น”
คำว่า “มีลูกศิษย์ลูกหามาก พระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของท่านก็มีอยู่ทั่วไป” นั้น หากจะขยายความพอให้เห็นภาพอย่างย่นย่อก็ต้องว่า ขณะนี้มีวัดสาขาของหลวงปู่ศรีอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศอยู่อย่างน้อย 143 วัด
ท่านเป็นที่นับถือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไปกระทั่งชาวบ้านหัวไร่ปลายนา รวมทั้งคนขับแท็กซี่ซึ่งหากินใน กทม. จำนวนไม่น้อยที่มีพื้นเพเป็นคนภาคอีสาน ติดรูปหลวงปู่ศรีอยู่เหนือที่นั่งคนขับ
นอกจากการสร้างคนจำนวนมโหฬารแล้ว การสร้างวัตถุของท่านก็น่าอัศจรรย์ไม่แพ้กัน
ถ้าใครได้ไปวัดผาน้ำย้อย จ.ร้อยเอ็ด จะเห็นมหาเจดีย์ชัยมงคลตระหง่านอยู่บนยอดเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยป่าไม้
อาจจะกล่าวได้ว่า มหาเจดีย์องค์นี้นับว่า เป็นมหาเจดีย์ซึ่งมีการรังสรรค์ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในยุคสมัยนี้ ไม่เพียงแต่จะกว้างถึง 101 เมตร สูงถึง 109 เมตร หากแต่ยังงดงามด้วยลักษณะผสมผสานศิลปะร่วมสมัยระหว่างภาคอีสานกับภาคกลาง ทั้งภายนอก ภายในวิจิตรพิสดาร ลำพังยอดเศวตฉัตรทองคำแท้ก็หนักถึง 4,750 บาท หรือหนักราว 72 กิโลกรัม
ตามประวัตินั้นมีสิ่งบอกเหตุมาตั้งแต่ก่อนท่านเกิดแล้วถึงความเป็น “ผู้มีวาสนากว้างขวางองค์หนึ่งที่หาได้ยาก” ในปี พ.ศ. 2459 โยมแม่ของท่านฝันว่า มีดาวดวงหนึ่งซึ่งมีรัศมีสุกสกาวหมุนวนลงมาจากสรวงสวรรค์ โดยเหล่าผู้มีบุญประพฤติศีลธรรมอันดีงาม และเหล่าทวยเทพเหาะรายล้อมคารวะไหว้ดาวดวงนั้นมา เมื่อดาวจะหล่นลงเบื้องหน้า โยมแม่ของท่านจึงกระพุ่มมือออกรับไว้ ในใจนั้นเกิดปีติยิ่งกว่าได้สมบัติใดๆ
หมอดูในหมู่บ้านทำนายไว้ล่วงหน้าว่า จะมีบุรุษรัตนชาติอาชาไนยมากำเนิด เมื่อเติบใหญ่จะได้ออกบวชมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทุกทิศ
โยมแม่จึงคิดว่า เมื่อผู้มีบุญจะมาเกิด ท่านจึงรักษาศีล 5 ไหว้พระสวดมนต์ตลอดเวลาที่ตั้งครรภ์ 9 เดือน หลังจากนั้นหลวงปู่ศรีก็กำเนิดในครอบครัว “ปักกะสีนัง” เป็นบุตรคนที่ 6 ในตระกูลชาวนาแห่งบ้านขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
เด็กชายศรีมีนิสัยน้อมนำไปในทางบุญมาตั้งแต่เด็ก เมื่อออกไปเลี้ยงควายตามทุ่งก็ระวังไม่ให้วัวควายไปเหยียบย่ำพืชสวนของชาวบ้าน พบเห็นดอกไม้ป่าก็หักเอามาให้พ่อแม่ไหว้พระ ตัวท่านเองก็ชอบเล่นเป็นพระ แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เวลาใกล้หลับจิตของเด็กชายศรีมักจะ “ดิ่งลงเหมือนคนตกตึก”
เมื่อดิ่งลงไปแล้วจะเกิดนิมิตเห็น “คนล้มตาย เห็นคนหัวขาดจำนวนมาก ศพคนตายนอนเกลื่อนกล่นทับถมกันเหมือนกองภูเขา น่าขยะแขยง น่าสะพรึงกลัวที่สุด จิตแสดงนิมิตให้เห็นว่าเป็นอาการต่างๆ ว่า คราวไหนเกิด คราวไหนตาย เห็นร่างตัวเองเทียวเกิดเทียวตาย การเกิดแต่ละชาติพ่อแม่ก็เปลี่ยนไปไม่ซ้ำกัน เปลี่ยนรูปร่างลักษณะไปเรื่อยๆ ประหนึ่งว่า เหล่าสัตวโลกนี้ ผู้ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องเป็นญาติพี่น้องกันไม่มีในโลก”
กระนั้นเมื่อโตขึ้น ชีวิตก็หักเหไปเป็นครู และแต่งงานจนมีลูก 4 คน ในวัย 29 ปี โยมแม่ของท่านป่วยหนัก ก่อนโยมแม่จะสิ้นใจไม่กี่วันได้เอ่ยปากว่า แม่อยากจะขอให้ลูกบวช จะบวชสัก 10 วันก็ได้ 15 วันก็ได้ แม่จะได้พึ่งบุญไปสวรรค์
เมื่อโยมแม่สิ้น ท่านจึงออกบวชที่วัดราษฎร์รังสรรค์ ต.ขอนแก่น อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2488 โดยมีพระโพธิญาณมุนี (คำ โพธิญาโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า “มหาวีโร” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีความกล้าหาญมาก” หรือ “ผู้สามารถบุกเข้าไปทำลายกิเลสได้”
เมื่อบวชแล้ว หลวงปู่ศรีเริ่มออกแสวงหาครูบาอาจารย์ บางรูปอาจจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะตั้งหลักได้ แต่ในปีแรกนั้นเอง หลวงปู่ศรีก็ได้ยินข่าวว่า พระอาจารย์คูณ ธัมมุตตโม มาเผยแผ่อยู่ที่วัดป่าพูนไพบูลย์ อ.เมือง จ.มหาสารคาม
พระอาจารย์คูณรูปนี้เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ท่านติดตามพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มาเผยแผ่ธรรมะ ทันทีที่ท่านได้ฟังพระอาจารย์คูณเล่าถึงเทศนาที่ได้รับฟังมาจากพระอาจารย์มั่นว่า “พระอรหันต์ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากไหน ก็มาจากหัวใจของปุถุชนมาจากราคะ โทสะ โมหะ ถ้าหากใจปุถุชนนั้นพยายามบากบั่นฝึกปรือตนให้เดินตามมรรคสัมมาปฏิบัติ พระอรหันต์ก็มาจากที่นั่น กลั่นกรองมาจากที่นั่น เหมือนดอกบัวมาจากขี้ตมขี้โคลน เน่าๆ เหม็นๆ แต่พอพ้นน้ำรับแสงอาทิตย์บานแย้มเต็มที่ มีสง่าราศี ใครก็อยากได้อยากชม” ก็เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า
ในพรรษาแรกนั้นเอง หลังจากทั้งเดินจงกรมและภาวนาโดยเตือนตนว่า ทำไมจะเดินจงกรมหรือนั่งภาวนาทั้งคืนไม่ได้ ในเมื่อเรานั่งอยู่ในท้องแม่เป็นเวลา 910 เดือนก็ยังอยู่ได้ ผลคือ
“สุดท้ายจิตวูบวาบลงคราวเดียว ทุกขเวทนาที่ว่าเผ็ดร้อน หายหน้าหายตาไปหมด ร่างกายเปรียบกันได้ดั่งเหล็กที่เผาไฟแดงๆ แล้วนำไปทิ้งใส่น้ำ จะมีเสียงดังจ๊าดๆๆ ร่างกายเผาไหม้หมด มันเป็นของมันเอง ร่างกายจึงอยู่สบาย นั่งไปเท่าไหร่ทั้งคืนก็ได้ มิได้มีความเจ็บความปวด มันเกิดเองเป็นเอง ร่างกายจึงอยู่สบาย นั่งไปเท่าไหร่ทั้งคืนก็ได้ มิได้มีความเจ็บปวด มันเกิดเองเป็นเอง เรามิได้ปรุงแต่ง มีแต่ตัวรู้ รู้เฉยๆ อยู่...ของแปลกประหลาดภายในจิตเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ทำให้เรามีศรัทธาเกินคาด”
ของแปลกประหลาดภายในจิตที่เกิดขึ้น ทำให้ถามตัวเองว่า “เรื่องอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ เอ...จิตของคนเป็นอย่างนี้ก็มีหรือ?”
อัศจรรย์แห่งจิตนั้นยังให้เกิดศรัทธาอย่างเหนียวแน่น ขนาดพ่อตาแม่ยายไปนิมนต์ให้สึกท่านก็ไม่สึก ก้าวถัดจากนั้นคือ ไปศึกษา วัตรปฏิบัติจากพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม มือขวาของพระอาจารย์มั่น ผู้ได้ชื่อว่า แม่ทัพใหญ่แห่งกรรมฐาน
การได้ไปพบกับพระอาจารย์สิงห์ที่วัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี นั้นมิได้เป็นแต่การทำให้พบสังคมแห่งกัลยาณมิตร ซึ่งจะเกื้อกูลให้มีกำลังใจต่อเนื่อง เพราะที่แห่งนั้นท่านได้พบกับพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธัมโม พระอาจารย์ดี ฉันโน พระอาจารย์ผั่น ปาเรสโก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระอาจารย์หลุย จันทสาโร พระอาจารย์ทอง อโสโต ฯลฯ
แต่เมื่อได้ฟังเทศนาพระอาจารย์สิงห์แล้ว ท่านว่า “ฟังใหม่ๆ ราวกับว่าได้ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า”
พอได้แนวทางแล้วจึงเริ่มออกธุดงค์ ท่านจาริกไปยังที่ต่างๆ และฝึกตนอย่างเข้มงวด อดนอน ผ่อนอาหาร บางช่วงถึงกับกำหนดว่า ถ้าวันไหนบิณฑบาตหรือฉันจังหันก็จะไม่นอนทั้งวันทั้งคืน m


