ดินแดนซึ่งซากุระไม่เคยหยุดหอม
นับเป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น
นับเป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟูให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย การคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอันเนื่องมาจากการยกเลิกทัวร์ ซึ่งเกิดจากความกังวลและไม่มั่นใจของนักท่องเที่ยว จึงทำให้ทุกวันนี้หลายคนสงสัยว่าประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวอยู่อีกหรือไม่
ภาพความน่าสะพรึงกลัวและภาพความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติ ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ไปทั่วโลก จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก แต่ญี่ปุ่นก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤตได้ไม่นาน เพราะความสามัคคีและความมีระเบียบวินัยที่เคร่งครัด จึงทำให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แน่นอนว่าไม่อาจต้านทานพลังธรรมชาติได้ จึงทำให้สถานที่เหล่านั้นอาจต้องใช้ระยะเวลาในการซ่อมแซมและฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าหากพูดถึงสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดและวัฒนธรรม ซึ่งปรากฏให้เห็นผ่านทางวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น ก็กลับไม่ได้สูญสลายไปกับเหตุการณ์ แต่กลับทำให้เรารู้สึกว่าญี่ปุ่นมีเสน่ห์และน่าสนใจมากกว่าสถานที่สวยงามต่างๆ
เอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่เรารู้จักกันดี เช่น การแต่งกายด้วยชุดกิโมโนในวันสำคัญต่างๆ อาหารการกินที่พิถีพิถันในการปรุง ความมีระเบียบวินัยและความมีจิตสาธารณะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ยังคงน่าสนใจอยู่เสมอ แต่กว่าจะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ดังกล่าว ก็ต้องผ่านการสั่งสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหลายพันปี แต่จุดเริ่มต้นของเอกลักษณ์ดังกล่าว ว่ากันว่าเกิดจากการเข้ามาของอารยธรรมจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะแนวคิดทางด้านการปกครองที่ได้ถูกปรับปรุงและพัฒนาให้กลายมาเป็นแบบญี่ปุ่น ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น ระบบศักดินา ซึ่งมีการแบ่งเป็นฝ่ายและสายการปกครองที่ชัดเจน ซึ่งบุคคลที่มีบทบาทต่อระบบนี้ก็คือโชกุนและซามูไรนั่นเอง
โชกุนและซามูไรคือนักรบที่มีชื่อเสียงในอดีต ซึ่งจะต้องยึดถือหลักปฏิบัติที่เรียกว่า “บูชิโด” โดยให้ความสำคัญในเรื่องความซื่อสัตย์ การจงรักภักดี ความอ่อนน้อมถ่อมตน สมถะไม่ยึดติดอำนาจและรักศักดิ์ศรีไม่กลัวตาย จึงทำให้พวกเขาได้รับการยอมรับและนับถือจากประชาชน ถึงแม้ว่ายุคสมัยของโชกุนและซามูไรจะเสื่อมถอยไป แต่แนวความคิด “บูชิโด” ยังคงเป็นที่ยอมรับและได้รับการสืบทอดจนถึงปัจจุบัน ว่ากันว่าได้ฝังอยู่ในสายเลือดของชาวญี่ปุ่นทุกคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ความมีระเบียบวินัย การทุ่มเททำงานให้กับองค์กร การเคารพเชื่อฟังเจ้านาย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้สร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก เช่น การจ้างงานแบบชั่วชีวิต หรือ Life time employment แต่ในปัจจุบันมีให้เห็นไม่มากแล้ว เพราะในปัจจุบันหลายองค์กรหันมาใช้ระบบจ้างงานที่เป็นสากล ซึ่งก็เป็นผลมาจากการเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างสูง และนอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น ดนตรี J Pop และ J Rock ซึ่งได้รับอิทธิพลดนตรีแบบตะวันตก แต่เพิ่มการแต่งตัวที่มีสีสันฉูดฉาดและสุดโต่ง หรือจะเป็นการ์ตูนที่มักจะนำเสนอมุมมองแบบญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการต่อสู้ ความสามัคคี และวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้าไป ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดี เช่น อิคคิวซัง และยอดมนุษย์ต่างๆ
การเดินทางมาเยือนประเทศญี่ปุ่นของโลก 360 องศาในครั้งนี้ เราเดินทางมาในช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนการเดินทางไปนั้นข้อมูลที่เรารับรู้ก็คือ ที่นี่ยังคงได้รับความเสียหายและไม่ปลอดภัย จึงทำให้การเดินทางในครั้งนี้รู้สึกหวั่นวิตกไม่น้อย และเมืองแรกที่เราเดินทางไปถึงคือมหานครโตเกียว ถึงแม้ว่าในวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา โตเกียวจะได้รับแรงสั่นสะเทือนและเกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหว แต่สิ่งที่เราเห็นในวันนั้นคือ ที่นั่นก็ยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยสีสันของผู้คนที่ยังคงใช้ชีวิตแบบปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับมาตรการหลังจากเกิดภัยพิบัติ เช่น การดับไฟในบางพื้นที่ การสวมใส่ชุดซาฟารีแทนชุดสูท และการปรับตารางเวลาในการทำงาน แต่จากการสำรวจพบว่ามาตรการดังกล่าวได้ถูกยกเลิกแล้ว เพราะชาวญี่ปุ่นร่วมใจกันปฏิบัติตามมาตรการ จึงทำให้สถานการณ์คลี่คลายและกลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว
และอีกหนึ่งเมืองที่เราได้มีโอกาสเดินทางไปเยือน นั่นก็คือเมืองฮิโรชิมา เมืองซึ่งในอดีตเคยโดนถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น แน่นอนว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติย่อมส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของที่นี่อีกด้วย แต่ในวันที่เราได้ไปเยือนเกาะมิยาจิมา สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ทุกคนจะต้องไปเยือนเมื่อมาฮิโรชิมา ซึ่งจากการสำรวจเราพบว่าที่เกาะแห่งนี้ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจำนวนมาก สังเกตได้จากท่าเรือก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติต่อแถวเพื่อขึ้นเรือ และเมื่อไปถึงเกาะเรายังได้พบกับอาสาสมัครชุมชน ต่างช่วยกันเก็บกวาดสาหร่ายที่กองอยู่เต็มชายหาด ซึ่งจากการสอบถามก็ทำให้ทราบว่าสาหร่ายหากปล่อยทิ้งไว้จะเน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่อยากมาที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องช่วยกันเก็บกวาดซากสาหร่ายเหล่านี้ ซึ่งทุกคนที่มาช่วยกันในวันนั้น ต่างก็มาด้วยใจและบางคนก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ เมื่อทราบข่าวก็อยากมาช่วย เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเราคงพอจะคาดเดาว่า เพราะเหตุใดญี่ปุ่นจึงสามารถฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว
ประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการรับเอาวัฒนธรรมจากต่างชาติ ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่เข้ามามีอิทธิพลและสร้างให้เกิดเป็นเอกลักษณ์แบบญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จัก แต่รากดั้งเดิมของแนวคิดและวัฒนธรรม ซึ่งไม่เคยเลือนหายไปจากสังคมญี่ปุ่น กลับเป็นสิ่งที่มีพลังและดึงดูดให้ผู้คนทั่วโลกอยากที่จะเดินทางมาที่นี่ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้หลายคนมองว่ามนต์เสน่ห์ของญี่ปุ่นได้ถูกพัดพาไปแล้ว แต่แท้จริงญี่ปุ่นก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ส่งผลใดๆ และกลับยิ่งทำให้ญี่ปุ่นมีมนต์เสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิม เสมือนกับดอกซากุระ ซึ่งสามารถหาชมได้ในประเทศอื่นๆ แต่คงไม่มีที่ไหนๆ ที่จะหอมได้เท่าซากุระในญี่ปุ่น แม้ว่ามันจะผลิบานในช่วงเวลาไหนหรือสถานการณ์ใดก็ตาม


