posttoday

นพดล+ศศินา เรืองศรี สินค้าไทยไม่มีคำว่าแพ้

22 กันยายน 2561

“เราไม่รู้หรอกว่าสินค้าของเราจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน รู้แต่ว่าเห็นโอกาสและทำให้ดีที่สุดตั้งใจและพยายามอย่างเต็มที่”

โดย โยธิน อยู่จงดี
 
“เราไม่รู้หรอกว่าสินค้าของเราจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน รู้แต่ว่าเห็นโอกาสและทำให้ดีที่สุดตั้งใจและพยายามอย่างเต็มที่”
 
นพดล เรืองศรี เล่าถึงธุรกิจของพวกเขาด้วยแววตามุ่งมั่น ที่เขากับน้องสาว ศศินา เรืองศรี เป็นสองพี่น้องผู้ก่อตั้ง บริษัท เรย์ อินเตอร์เนชั่นแนล 
 
นพดล ผู้เป็นพี่ชายเล่าถึงธุรกิจที่เริ่มต้นการทำงานจากการทำสื่อ เป็นนักข่าวมาก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ แล้วก็ผันตัวไปทำอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นมาทำสถานีโทรทัศน์
 
“จนเรารู้สึกว่าชีวิตการทำงานสื่อของเราถูกตีกรอบไว้หมดแล้ว เหมือนกับอนาคตเราโดนซื้อไปแล้ว เราก็เดินไปตามเส้นทางนั้น สมัยก่อนการทำงานสื่อไม่เหมือนสมัยนี้ ทำให้เราต้องเริ่มผันตัวหาธุรกิจอื่นๆ ทำต่อไป
 

นพดล+ศศินา เรืองศรี สินค้าไทยไม่มีคำว่าแพ้

 
ก็เริ่มทำธุรกิจหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจน้ำแร่ จนผมกับน้องสาวมาเจอกับธุรกิจเครื่องสำอาง เมื่อพูดถึงเครื่องสำอางเราจะนึกถึงสินค้าเครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส แต่พอมาเป็นเครื่องสำอางไทย คนไทยไม่นิยม แต่ผมมองว่าของไทยเราก็มีดีในแบบที่ต่างประเทศเลียนแบบของเราไม่ได้ ไม่มีวัตถุดิบที่ดีเหมือนของเรา”
 
นพดล ยกตัวอย่างเช่นเครื่องสำอางที่ทำจากสมุนไพรไทยและอื่นๆ อีกมากมาย ที่ใช้เป็นเครื่องสำอางของผู้หญิงไทยสมัยก่อน บอกว่าทำไมไม่เอามาใช้
 
“ผมก็ศึกษากับผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจนี้มาสักระยะหนึ่ง ประกอบกับผมโชคดีที่มีธุรกิจขายน้ำแร่อยู่แล้ว ในชื่อแบรนด์ สปริงกรีน ก็เลยมีแนวคิดที่จะเอาน้ำแร่เย็นนี่แหละ มาทำผลิตภัณฑ์เสริมความงาม จึงได้เลี้ยงสาหร่ายจากน้ำแร่เย็น เราก็เลยลองเอาน้ำแร่เย็นที่เรามีเอามาผสมผสาน
สูตรสมุนไพร สาหร่าย และน้ำแร่บริสุทธิ์ออกมาเป็นมาสก์หน้าน้ำแร่บริสุทธิ์ แบรนด์ เรย์ (Ray)
 
ด้วยความที่เรามีคอนเนกชั่นเยอะ รู้จักคนในวงการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจพวกทัวร์ต่างๆ ก็ฝากเกี่ยวกับสินค้าของเราให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองใช้ ทำให้สินค้าของเรากระจายไปได้ทั่วๆ ให้สินค้าของเราได้เป็นที่รู้จักจนมียอดขายชนิดที่เรียกว่าผลิตขายกันแทบไม่ทัน”
 

นพดล+ศศินา เรืองศรี สินค้าไทยไม่มีคำว่าแพ้

 
นพดล บอกว่าเริ่มทำธุรกิจตัวนี้ ก็ไม่ได้คิดไว้ว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ จากที่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ แล้วเขาเอากลับไปใช้แล้วดี จนมียอดสั่งซื้อจำนวนมากเข้า ตอนนี้สินค้าก็ไปถึงตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม ไปตีตลาดที่นั่นได้หมดแล้ว
 
“งานเอ็กซ์โปที่ฮ่องกงเราก็ไป คนจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยผมเชื่อว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีสินค้าของเราติดมือกลับบ้านไป ผมไปงานที่เซี่ยงไฮ้ มีดิวตี้ฟรีของจีนมาเจรจาให้ผมเซ็นสัญญา เพื่อนำสินค้าไปวางจำหน่าย เรียกว่าเรามาไกลเกินกว่าที่คิดไว้มาก ที่จริงเราทำสินค้าทำธุรกิจตรงนี้มาเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเราจะเจอกับอะไรข้างหน้า แต่พอลงมือทำแล้วเราทั้งคู่ก็ต้องทำให้เต็มที่”
 
ศศินา เสริมพี่ชายว่า ในการทำงานของสองคน งานหลักๆ ส่วนใหญ่พี่ชายจะเป็นคนเดินทางดูงานประชุมกับต่างประเทศ ตัวเธอก็จะทำงานประสานภายในประเทศดูแลเรื่องการออกงานอีเวนต์
 
“และก็มีน้องมาร์เก็ตติ้งคอยช่วยงานเราอย่างดี ในเรื่องการทำงานร่วมกันต้องบอกเลยว่าถึงจะเป็นพี่น้อง แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน หลักๆ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะพี่เขาฟังเราตลอดเวลาที่มีปัญหาเรื่องการทำงาน เวลาแบ่งงานแบ่งหน้าที่ก็แค่คุยกันว่า ใครจะต้องไปไหนทำอะไรบ้าง ติดขัดอะไรเราก็คุยกัน ไม่ทะเลาะแต่หาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน มีอะไรคุยกันตรงๆ พี่เขารับฟังและช่วยหาทางแก้ปัญหาให้ได้
 

นพดล+ศศินา เรืองศรี สินค้าไทยไม่มีคำว่าแพ้

 
อีกอย่างหนึ่งพี่เขามีนิสัยใจกว้าง เราอยู่กับเขามาทั้งชีวิตเรารู้ พี่เขาใจกว้างมากใครมีปัญหาอะไรต้องการให้ช่วยเหลือพี่เขาช่วยได้จะช่วยเต็มที่ และที่สำคัญพี่เขาเป็นคนใจสู้ไม่ยอมแพ้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่เขาป่วยหนักมาก จนเรากลัวว่าพี่เขาจะไม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราเห็นในเวลานั้นก็คือ ใจพี่เขาสู้เขาไม่ยอมแพ้ แล้วพี่เขาก็ผ่านจุดนั้นมาได้ หมอยังบอกเลยว่าเป็นเคสหนึ่งในร้อยจริงๆ ที่จะรอดจากเหตุการณ์แบบนี้
 
หลังจากนั้นเรารู้สึกว่าพี่มีพลังและทำให้คิดได้ว่าจะต้องมีพลังที่จะสู้ชีวิตต่อได้เหมือนพี่ และพี่ก็สุขภาพแข็งแรงขึ้นมาตลอด แม้จะทำงานหนักมากวันหนึ่งนอนแค่ 3-6 ชั่วโมงแค่นั้นเอง ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเท่าไร”
 
นพดล เล่าต่อจากน้องสาวว่า เขาเองมีภาระเยอะ ดังนั้นผมยังไปไหนไม่ได้ (หัวเราะ)
 
“ผมมีแม่อายุ 90 ปีต้องดูแล มีธุรกิจที่ต้องวางรากฐานให้มั่นคง และถ้าไม่ได้น้องสาวคอยช่วยเหลือ ผมก็แย่เหมือนกันครับ เขาเป็นคนที่ช่วยเหลือมาตลอด ยอมออกจากงานครูที่เขารัก มาทำงานดูแลธุรกิจสื่อสารมวลชน มาช่วยเราทำธุรกิจอื่นๆ ไปด้วยกันตลอด เราจึงเป็นห่วงเขามาก ผมจึงยอมทำงานหนักเพื่อวางรากฐานให้กับครอบครัวประสบความสำเร็จ ให้คนที่อยู่ข้างหลังเราเขาไปต่อได้ด้วยตัวเอง”
 

นพดล+ศศินา เรืองศรี สินค้าไทยไม่มีคำว่าแพ้

 
ความสำเร็จของบริษัทนั้น นพดล คิดว่าเกิดจากความตั้งใจจริงในการทำงานที่จะทำสินค้าออกมาให้ดีที่สุดด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม
 
“ถึงแม้จะมีคนก๊อบปี้แบรนด์ของเราไปขาย ก็แสดงว่าสินค้าของเราดีและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ก็ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยสติไม่ใช่ความโกรธ ที่สำคัญเรามีวันนี้ได้เพราะมีเพื่อนมีมิตรให้ความช่วยเหลือ ต้องขอบคุณพวกเขาโดยเฉพาะคนที่เป็นสื่อที่เรารู้จักหลายๆ คน เขาให้ความช่วยเหลือ เราจึงเติบโตได้ค่อนข้างรวดเร็ว พนักงานขายของผมเองก็เช่นกันทุกครั้งที่เขาประชุม ผมบอกเสมอว่าถ้าผมไม่มีคุณ ผมก็คงไม่มีวันนี้”
 
นพดล บอกว่า ในบริษัทจึงรักกัน ดูแลกันอย่างพี่อย่างน้อง ที่ขาดไม่ได้ก็เห็นจะเป็นผู้จัดงานเอ็กซ์โป ที่ให้โอกาสได้นำสินค้าซึ่งเป็นแบรนด์เล็กๆ ได้ออกงานอย่างล่าสุดเราก็กำลังจะได้ออกงาน บียอนด์บิวตี้ อาเซียน แบงค็อก 2018 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจเพื่อสุขภาพความงามอาเซียน
 
“เป็นงานใหญ่มาก ระดับกับแบรนด์เล็กๆ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความภูมิใจสำหรับผม การทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ต้องมีความซื่อสัตย์ จริงใจ และทำเพื่อสังคม ผมขายสินค้าไม่ได้ราคาแพงอะไรมากมายแต่ก็อยากตอบแทน รายได้กำไรส่วนหนึ่งเราก็ไปมอบเป็นทุนให้กับเด็ก ใครจัดงานการกุศลทำบุญอะไรที่ไหนเราก็ไป สมาคมผู้สื่อข่าวฯ  เราก็ให้ทุนช่วยเหลือ ในการช่วยเหลือผู้สื่อข่าวทุพพลภาพ นักข่าวเก่าๆ ที่อยู่ในสมาคมรู้จักเราหมด ไม่คาดว่าจะมาถึงจุดนี้”
 
สุดท้าย นพดล ชี้ว่าภาพแรกของสินค้าที่เขากับน้องสาวร่วมกันทำขึ้นมา ก็เพื่อภาพลักษณ์ความเป็นไทยที่ดี
 
“เราอยากจะส่งออกภาพลักษณ์ประเทศไทย สินค้าไทยที่ดีออกไปสู่สายตาชาวโลก เราภูมิใจในความเป็นไทย และวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าสินค้าของไทยนั้นมีดีพอที่ต่างประเทศให้ความยอมรับ”