posttoday

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ ความสุขเล็กๆ แต่มั่นคงและยั่งยืน

22 กรกฎาคม 2561

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ หรือมะกอ มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่นอกจากสวยแล้วดีกรีไม่ธรรมดา

โดย วรธาร ทัดแก้ว 

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ หรือมะกอ มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่นอกจากสวยแล้วดีกรีไม่ธรรมดา การศึกษาปริญญาตรี บริหารธุรกิจการตลาด ปริญญาโท รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปัจจุบันเป็นพนักงานราชการในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งใน จ.แพร่ และใช้เวลาว่างหลังเลิกงานและวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ทำเกษตรผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้พื้นที่เพียง 1 ไร่ ปลูกผัก ผลไม้ต่างๆ หมุนเวียนตามฤดูกาลและที่ตลาดต้องการ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ เช่น ปลา กุ้ง ไว้กินและขายสร้างรายได้ให้ครอบครัว

การทำเกษตรแม้จะเป็นอาชีพเสริมสำหรับฤทัยรัตน์ แต่รายได้จากการทำเกษตรดูจะเป็นรายได้ที่ทำให้เธอและครอบครัว พ่อแม่ลูกทั้ง 3 ชีวิตยิ้มได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ ความเหน็ดเหนื่อยบ้างในบางครั้งบางเวลา แต่ชีวิตก็เปี่ยมด้วยความสุข ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้ากัน เธอเองได้เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ขณะที่พ่อแม่ก็มีความสุขกับวิถีชีวิตของการทำเกษตร

“เมื่อก่อนคุณพ่อคุณแม่ทำนา พอมะกอเรียนจบก็เห็นว่าการทำนามันเหนื่อย กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทต้องแลกด้วยเรี่ยวแรง หยาดเหงื่อหยดแล้วหยดเล่าจริงๆ แต่จะเลิกอาชีพนี้คงไม่ได้เพราะพ่อแม่ทำมาแต่เกิดแล้ว และอาชีพนี้แหละที่ส่งมะกอเรียนจนจบ ตัวมะกอเองก็ไม่ได้อยากเลิกนะ อยากสานต่ออยู่แล้ว ก็คิดว่าถ้ายังทำนาต่อไปพ่อแม่ที่นับวันอายุมากขึ้นกำลังถดถอยคงทำไม่ไหว มะกอจึงหันมาทำสวนแทนโดยที่ทำนายังทำอยู่แต่ทำพอกินและขายบ้างนิดหน่อย”

ในปี 2551 ฤทัยรัตน์ได้หันมาทำสวนมะละกอ โดยปลูกมะละกอฮอลแลนด์จำนวนหลายไร่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นได้นำสิ่งดีๆ มากมายมาให้เธอและครอบครัว ผลผลิตมะละกอสร้างรายได้อย่างน่าชื่นใจ ซึ่งมากกว่าการทำนาที่เคยทำมาหลายเท่า ชีวิตมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญพ่อแม่ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนเมื่อตอนทำนา

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ ความสุขเล็กๆ แต่มั่นคงและยั่งยืน

การทำสวนมะละกอตอบโจทย์ชีวิตทุกคนในครอบครัว แต่แล้วความสุขที่ได้รับมาหลายปีก็มีอันสะดุดเมื่อเกิดจุดเปลี่ยนขึ้นในปี 2557 สวนมะละกอของฤทัยรัตน์ต้องประสบปัญหาโรคไวรัสจุดวงแหวน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดกับมะละกอ (เกิดจากไวรัสมีเพลี้ยอ่อนเป็นพาหะนำ) อย่างหนัก ทำให้ธุรกิจมะละกอของเธอขาดทุนอย่างมากจนต้องเลิกทำในที่สุด

“ตอนนั้นไม่หมดกำลังใจ ก็พยายามมองหาหนทางอื่นว่าจะทำอะไรได้บ้างกับจำนวนเงินก้อนสุดท้ายที่เก็บไว้ ซึ่งต้องใช้อย่างมีสติและรัดกุมมากขึ้น และแล้ววันหนึ่งสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวคือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่คนไทย มะกอจึงค้นข้อมูลเรื่องนี้ในอินเทอร์เน็ต ศึกษาทำความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ท่านสอน ศึกษาโครงการต่างๆ ของพระองค์ รวมทั้งศึกษาโครงการของเกษตรกรหลายต่อหลายคนที่ทำตามพระองค์สอนแล้วประสบความสำเร็จ

เมื่อก่อนใครที่บอกว่าทำเกษตร 1 ไร่ประสบความสำเร็จ มีชีวิตความเป็นอยู่สบาย รายได้เป็นแสนต่อเดือนมะกอไม่ค่อยเชื่อนะ แต่พอไปดูงานหลายๆ ที่ความคิดแบบนั้นไม่มีอีกต่อไป มะกอตัดสินใจใช้เงินเก็บก้อนสุดท้ายไปทำเกษตรผสมผสานตามหลักเศรษฐกิจ
พอเพียงในพื้นที่ 1 ไร่ ใช้พื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดรายได้มากที่สุด โดยไม่ไปลงทุนเยอะๆ เหมือนที่เคยทำมา”

เธอเริ่มจากการขุดบ่อน้ำซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำเกษตร ในบ่อเลี้ยงปลาหลายชนิด ทั้งเลี้ยงกุ้ง (กุ้งฝอย กุ้งก้ามแดง) พื้นที่บนบกทำโรงเรือนไม้ไผ่ไว้สำหรับการเพาะพันธุ์กล้าไม้ กิ่งไม้ขาย ปลูกชา หม่อน ปลูกผัก และผลไม้ต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและความต้องการในตลาดเป็นสำคัญ สิ่งสำคัญไม่ว่าทำอะไรจะประเมินศักยภาพและกำลังของตัวเองทำได้แค่ไหน

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ ความสุขเล็กๆ แต่มั่นคงและยั่งยืน

“มะกอเป็นผู้หญิง ถ้าต้องทำงานหนักๆ ตลอดเลยคงไม่ไหว เพราะฉะนั้น อะไรที่ช่วยไม่ให้ตัวเองและพ่อแม่ต้องเหนื่อยหรือออกแรงมากก็จะพยายามหาวิธีมาช่วย อย่างการปลูกผัก ผลไม้บางอย่างมะกอจะปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ ตั้งเวลารดน้ำเอง เพราะเราไม่ได้อยู่ตลอดเนื่องจากต้องทำงานประจำ

ช่วงนี้หน้าฝนก็จะยังไม่ได้ปลูกอะไรใหม่ๆ เมล่อนก็เพิ่งเก็บเกี่ยวไปจะปลูกอีกทีคงช่วงหน้าหนาว องุ่นก็ปลูก ตอนนี้แปรรูปชาสมุนไพรขาย ซึ่งปลูกไว้หลายชนิด เช่น จิงจูฉ่าย เชียงดา แก่นตะวัน ย่านาง หนานเฉาเหว่ย พอฤดูหนาวก็จะปลูกกะหล่ำ คะน้าปลอดสารพิษ ปลูกผสมผสานและตามฤดูกาล ไม่ได้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ตอนนี้ชาขายดีเราก็มาทำชา

ถามว่าทำเกษตรแบบนี้รวยไหม ไม่รวย แต่เป็นน้ำซึมบ่อทรายที่ได้เรื่อยๆ ถ้ารู้จักเก็บ จากหลักร้อยหลักพันก็ขึ้นไปถึงหลักแสนได้จริง ถ้าถามว่าเดือนหนึ่งได้เท่าไหร่ ก็ไม่ต่ำกว่าหมื่นบาท แต่มะกอไม่อยากเอาตัวเงินไปวัด เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างเดือนนี้ ยอดขายชาระหว่างวันที่ 1-15 ก.ค. จากการทำรายรับรายจ่าย รายได้อยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท”

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ ความสุขเล็กๆ แต่มั่นคงและยั่งยืน

หลายคนสงสัยทำเกษตรแต่ทำไมผิวพรรณยังขาว ฤทัยรัตน์บอกเคล็ดลับง่ายๆ อยู่ที่การแบ่งเวลา โดยช่วงเช้าและเวลาเย็นเธอจะเข้าสวนทำเกษตร ส่วนกลางวันก็ทำงานในร่มแปรรูปชาสมุนไพร เธอยอมรับว่า กลัวเหมือนกันถ้าเกิดผิวหมองคล้ำ เพราะไม่ได้ทำเกษตรอย่างเดียว ต้องทำงานประจำที่ต้องพบปะผู้คนตลอด จึงต้องดูแลตัวเองด้วยการแบ่งเวลาที่เหมาะสม

“ปกติมะกอจะตื่นตี 5 ถ้าหน้าหนาวตื่นราวๆ 6 โมง ช่วงทำเกษตรแรกๆ เหนื่อยมาก ต้องทำทุกอย่างเอง เช่น การหานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการทำเกษตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปและทำแพ็กเกจใหม่ๆ การทำการตลาดและการขาย โดยมีการเปิดเฟซบุ๊ก ‘มะกอ กุ้งก้ามแดง จังหวัดแพร่’ ขึ้นมา

ตอนนี้สวนเป็นรูปเป็นร่างแล้วไม่เหนื่อย ทำให้มีเวลาคิดทำอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ก็อยากบอกสำหรับใครที่อยากทำอย่างที่มะกอทำ ต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่จะทำให้ดีและต้องมีใจรักด้วย อย่าทำเพียงเพราะเห็นคนอื่นทำสำเร็จแล้วอยากทำตาม ต้องดูปัจจัยหลายอย่างประกอบ ดูอย่างตอนนี้ราคาสับปะรดโลละไม่กี่บาท เจ็บปวดไปตามกัน ปีที่แล้วราคาดีแห่กันปลูก ออกรถเป็นว่าเล่น

ฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ ความสุขเล็กๆ แต่มั่นคงและยั่งยืน

มะกออยากฝากเตือน ถ้าทำเกษตรแนะนำให้ทำแบบผสมผสานจะได้ไม่มีความเสี่ยง อย่างมะกอทำในพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกทั้งผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ เพาะพันธุ์กล้าไม้ขาย ทำอันนี้หน่อย อันโน้นหน่อย ขายได้ตลอด ยอมรับว่าชีวิตทุกวันนี้ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขและรู้สึกได้ถึงพลังในการอยู่บนวิถีทางนี้อย่างมั่นคง บางครั้งอาจท้อ เช่น กำลังจะเก็บเกี่ยวก็ถูกพายุ หรือน้ำท่วม แต่ก็ต้องทำใจ คิดในแง่บวกว่าเราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ” ฤทัยรัตน์กล่าวทิ้งท้าย