posttoday

รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ ปลดล็อกอดีต เปิดใจให้มีความสุขอีกครั้ง

29 เมษายน 2561

ชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีความสุขสมใจดั่งปรารถนาเสมอไป บางช่วงของชีวิตก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ยากจะก้าวผ่าน

โดย อณุสรา  ทองอุไร-จุฑามาศ  นิจประพันธ์ ภาพ : วีรวงศ์   วงศ์ปรีดี

ชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีความสุขสมใจดั่งปรารถนาเสมอไป บางช่วงของชีวิตก็ต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ยากจะก้าวผ่าน อยู่ที่แต่ละคนจะมีวิธีก้าวผ่านช่วงที่จิตใจเราหม่นหมองนี้ไปได้อย่างไร ถือเป็นความท้าทายเป็นช่วงที่ตัดสินเส้นทางของชีวิตว่าจะไปในทิศทางไหน

หนุ่ย-รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ สถาปนิกหนุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทสถาปนิกโอเพ่นบ็อกซ์ และได้รางวัลระดับโลกมาหลายรางวัล ก่อนที่ชีวิตจะลงตัวเช่นนี้เขามีช่วงที่ชีวิตไขว้เขวสับสน กับช่วงหนึ่งของชีวิตเพราะตีโจทย์การเดินทางสายกลางผิดแผนไปเสียหมด บวกกับความไม่มั่นใจในความดีความถูกต้องนั้นมันสุดโต่งเกินไปหรือไม่

ย้อนไปชีวิตวัยเด็ก เขาเกิดและโตที่สกลนคร และตอนมัธยม 2 ได้ไปเรียนที่ประเทศแคนาดากับคุณแม่ เนื่องจากคุณแม่ได้ทุนไปเรียนต่อ เขาพยายามเรียนตามโควตาให้จบมัธยมปลายภายใน 4 ปี เพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายของคุณแม่ วันแรกที่เขาไปถึงเหมือนเปลี่ยนความคิดของเขาไปหมด

รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ ปลดล็อกอดีต เปิดใจให้มีความสุขอีกครั้ง

จากเด็กที่วิ่งเล่นในสวน มาเจอกับตึกรูปทรงเรียบง่าย แต่สวยงามดูเข้ากับอากาศ และผู้คนในประเทศ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกชอบและสนใจที่จะเรียนในด้านนี้ คือจะเรียนและทำงานในด้านสถาปัตยกรรม เขาตั้งใจเรียนมาก

เขากลับมาเรียนปริญญาตรีที่คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อจะเป็นสถาปนิก เมื่อเรียนจบช่วงนั้นเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ค่าเงินบาทลอยตัว เขาจึงหันไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นเวลา 2 ปี เพื่อรอเวลาให้ทุกอย่างมันดีขึ้น

มาถึงจุดตัดสินในชีวิตอีกจุดหนึ่งคือการต้องเลือกว่าจะสอนต่อหรือจะไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ จนสุดท้ายก็เลือกไปสิงคโปร์ไปทำงานได้ระยะหนึ่งก็กลับมาเมืองไทย และเปิดบริษัทของตนเองชื่อว่า โอเพ่นบ็อกซ์

“โอเพ่นบ็อกซ์ หมายถึงการคิดแบบไม่มีกรอบ think out of the box ออกมา จากกะลาออกมาจากกล่อง ให้มันมีความรู้สึกขำนิดๆ นอกจากเปิดออก เราเปิดรับเข้าด้วย เราไม่ได้ยึดติดอยู่แต่กับของตนเอง ไอเดียดีๆ โยนเข้ามา เรารับ เอามาคุยกันต่อ

มีบริษัทในเครืออยู่ 4 บริษัท เปิดสถาปนิกและแตกเป็นอินทีเรียร์ดีไซน์ อีกอันเปิดกลางๆ เป็นโอเพ่นบ็อกซ์ไลฟ์ จะได้รับทุกอย่าง เอกลักษณ์เฉพาะของบริษัทก็คือ ใช้คำว่าร่วมสมัย ดูหน้าตาเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยดีเทลเล็กๆ เป็นทรอปิคอลดีไซน์”

หลังจากที่ทุกอย่างดำเนินไปตามความคาดหมายของเขา ตอนนั้นอายุประมาณ 28-29 ปี เขาตัดสินใจจะแต่งงาน ซึ่งก่อนแต่งงานก็มีความคิดที่จะบวชก่อน เขาบวชได้ 1 พรรษา เขาเล่าว่าช่วงนั้นเขาเข้าถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขากลับสุดโต่งและตึงมากจนเกินไป มองชีวิตเป็นขาวกับดำ ไม่มีสีเทาเลย

รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ ปลดล็อกอดีต เปิดใจให้มีความสุขอีกครั้ง

“จริงๆ ศาสนาพุทธเข้าใจง่าย ไม่สุดโต่ง เราแย่ตรงที่เราเข้าใจผิดเอง คำไม่ดีที่มันเกี่ยวกับวิชาชีพเรา มันก็แอบมีกระซิบเข้ามา อย่างเราทำงานในวงการก่อสร้าง เป็นงานที่เน้นเงินเยอะ ผมก็ไปเชื่ออะไรผิดๆ เพราะไปฟังอะไรที่มันเป็นเรื่องลบว่าการที่เราตัดสินใจไปทำสถาปนิกมันมีแต่แข่งขัน ฟุ้งเฟ้อ แต่สุดท้ายแล้วยังไงก็ไม่รวย รู้สึกว่าเราเข้าไปในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันมันดาวน์เพราะเราพาตัวเองไปในที่ที่มันไม่ดีเอง เราเป็นคนอ่อนไหวง่าย เราเชื่อในความดีของเราแบบผิดๆ บวกกับตอนนั้นเราไปเจอคนอื่นทำธุรกิจ ทำร้ายกัน แทงข้างหลังกัน มันแข่งขันสูง มีเพื่อนที่ทำโปรเจกต์ด้วยกัน ทำไปทำมาดันทะเลาะกัน แตกกัน ผมรู้สึกว่าทำไมมันยุ่งเหยิงวุ่นวาย แล้วทำไมคนต้องทำอะไรไม่ดีต่อกันรู้สึกดาวน์ลง พอถึงจุดหนึ่งเราเหนื่อย กำไรเราก็เลยน้อย ช่วงหนึ่งนี่คือหักกลบลบหนี้จ่ายเงินเดือนโบนัสเสร็จ เหลือศูนย์พอดี เราไม่เหลืออะไรเลยมันทำให้เราไม่มีกำลังใจเป็นอยู่หลายปี”

ชีวิตเขาช่วงนั้นกลายเป็นคนหมดพลังในการใช้ชีวิตคิดเพียงแต่ว่าทำไมตัวเขาถึงเจอแบบนั้น จึงเริ่มหันหน้าเข้าสู่วัดมากขึ้น เริ่มจากการที่เข้าไปช่วยงานวัด นำความรู้ที่ตนเองมีไปออกแบบศาลาช่วยเหลือในสิ่งที่เขาพอจะทำได้ แต่เมื่อเข้าใกล้วัดมากขึ้นกลับทำให้เขาเห็นสิ่งที่ไม่ดี เงินบริจาค เงินทำบุญ เงินก่อสร้าง ในวัดก็ยังมีการโกงกันเกิดขึ้น มีผลประโยชน์กัน นี่ในวัดหรือนี่ สิ่งที่เขาพบเจอทำให้ยิ่งดึงความรู้สึกเขาลงต่ำไปมากกว่าเดิมจากที่ตอนแรกหวังจะพึ่งธรรมะเพื่อให้จิตใจสงบและดีขึ้น กลับทำให้หดหู่หมดหวังกับชีวิต

“พระพุทธเจ้าสอนดี แต่เราตีความผิด ไปทำชีวิตให้ดาวน์ลง ตอนนั้นเราจะหนี ไม่ไหว เหนื่อย ไม่เอาแล้ว ไปซื้อที่เล็กๆ อยู่ที่สกลนคร เขียนแบบบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง คิดจะทำแปลงผัก ทิ้งทุกอย่าง”

ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมีคนติดต่อมาให้ช่วยทำงานเยอะมาก แต่เขาก็ค่อยๆ ดาวน์ลง แม้แต่คนที่เรารัก เรายังรู้สึกว่ามันไม่มีความสุข ไม่หวานชื่นเหมือนเดิม ชีวิตคู่ก็ยังย่ำแย่ไปด้วย เหมือนพายุที่นำทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาทับถมความรู้สึกของเขา จนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมทำดีแล้วไม่มีความสุข ทำไมถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ และช่วงนั้นดันเป็นช่วงที่เกิดน้ำท่วม ปี 2554 บริษัทที่เขาตั้งอยู่น้ำไม่ท่วมแต่ตัดไฟ แทนที่จะได้ลดค่าเช่าแต่กลับต้องจ่ายราคาเต็ม ยิ่งรู้สึกว่าเอาอีกแล้ว ทำไมชีวิตถึงได้เจอแต่เรื่องที่ให้แย่ลงๆ

จนสุดท้ายเขาตัดสินใจหนีจากงานที่เขาเคยภูมิใจและรักมันมากที่สุด

เขาเลือกทิ้งทุกอย่างและแบกเสียมแบกจอบคิดว่าจะอยู่มันที่บ้านหลังเล็กๆ ปลูกผัก เลี้ยงไก่เลี้ยงปลา แต่เมื่อลงจอบกับดินเข้าจริงๆ ก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่ความสุขอย่างที่เขาคิดเลย เขาไม่ได้มีความสุขกับการทำสวน

จนวันหนึ่งไปเจอหนังสือเข็มทิศชีวิตของครูอ้อย-ฐิตินาถ ณ พัทลุง แล้วรู้สึกโดนใจกับสิ่งที่เห็น เหมือนช่วยปลดล็อก ได้เจอทางออกบางอย่าง ปรับมุมมองความคิดให้เขาใหม่ ปรับให้ใจกลางๆขึ้นได้ แม้ทำธุรกิจกับเงินเยอะๆ ก็มีธรรมะแบบฆราวาสได้ ไม่จำเป็นต้องสละแล้วซึ่งทุกสิ่ง เขาจึงตัดสินใจสมัครเรียนพร้อมกับภรรยาและก็ไปตามที่เขาคิดเขาปลดล็อกความรู้สึกตนเองได้ตั้งแต่ครั้งแรกเข้าเรียน

“มีเทคนิคต่างๆ ในห้องเรียน มีเรื่องของจิตใต้สำนึกของตัวเราเองที่เรารู้สึกไม่ดีอะไรบางอย่างที่มันติดมาจนถึงตอนโต ซึ่งมันเยอะนะกว่าเด็กจะโต มันเป็นส่วนใหญ่ของมนุษย์ อย่างเช่นพ่อแม่ให้สิ่งที่ดีกับเราให้เรามีความสุข 99 เปอร์เซ็นต์ แต่บังเอิญมี 1 เปอร์เซ็นต์ ที่เขาอาจจะเคยดุเคยตี อาจจะให้เรารอตอนเลิกเรียนนานนิดหนึ่ง จนเรารู้สึกถูกทอดทิ้ง แม้ว่าสุดท้ายเขาก็มาแต่เราไม่ลืม มันฝังอยู่ในใจ มันต้องกลับไปแล้วไปปลดล็อกตรงนั้นให้หมด ต้องคิดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสิ่งดีๆ ที่เขาให้เรา ผมใช้คำว่าการใช้ชีวิตในฐานะฆราวาสที่ดี ทางโลกไม่ให้ช้ำทางธรรมไม่ให้เสื่อม คือ มีการสมดุลทั้งทางโลก ทางธรรม เจริญทั้งสองอย่างพร้อมกัน

รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ ปลดล็อกอดีต เปิดใจให้มีความสุขอีกครั้ง

การใช้ชีวิตอยู่ในทางสายกลางในฐานะฆราวาสที่เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมมันมีจริง ทำได้พร้อมกันไม่ต้องเลือก แค่เราจำได้ว่าเราคือใคร เป็นเด็กที่เก่งขนาดไหน เคยเรียนได้ดี พ่อแม่รักเรามาก ให้เราได้ไปเห็นโลก ครูบาอาจารย์ เจ้านายเก่าให้วิชาความรู้กับเราเราจะโยนมันทิ้งมันไปเฉยๆ และจะกลับไปปลูกผัก ชีวิตเราให้ประโยชน์กับโลกได้เยอะกว่านั้น จากนั้นชีวิตพลิกเลย”

วันที่เขาเข้าใจทุกอย่าง เหมือนทุกสิ่งในใจที่ทำให้เขาห่อเหี่ยวไร้พลังจะทำในสิ่งที่เขารักมันค่อยๆ ถูกความรัก ความภูมิใจความสุขเข้ามาแทนที่ นาทีนั้นเขาน้ำตาไหลออกมา

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่เป็นเรื่องดีๆ ไหลวนย้อนกลับมาเหมือนเปิดแผ่นซ้ำ รางวัลทุกรางวัลที่เขาเคยได้รับ เขาจำมันได้ทั้งหมด หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 ปี คนที่เคยบอกว่าไม่มีกำไรในการทำงาน จิตใจห่อเหี่ยวทุกครั้งที่เจอคนไม่ดี เจอเรื่องราวรอบตัวที่ไม่ดี โดนโกง และไม่มีบ้านอยู่ในตอนนั้นกลับเป็นคนที่มีทุกอย่างในวันนี้ เพราะเปิดใจเข้าใจให้ถูกต้อง

“มีสิ่งสำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ผมเข้าใจถูกทั้งทางโลก ทางธรรม ผ่านมาแค่ 3 ปีนิดๆ ชีวิตผมดีขึ้นมาก ผมว่าความพอดีมันอยู่ที่ใจเรา และพอเราจูนจนมันตรง ชีวิตเรามีความสุข ชีวิตรอบตัวดีขึ้น จากสถาปนิกที่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง กั้นห้องอยู่ในบริษัท อนาถามาก นึกย้อนกลับไปแล้วผมสงสารภรรยาผมที่สุด แต่งงานกันแล้วต้องไปอยู่แบบนั้นกับผม”

วันนี้เขาให้บ้านที่ดีที่สุดกับครอบครัวกับคนที่เขารัก ที่เคยคิดว่าเป็นสถาปนิกมันเหนื่อย มันไม่มีทางออก ทำแล้วหดหู่ลง เพราะตีความผิดเพี้ยน ตั้งสติแล้วคิดใหม่ ทุกอย่างมีทางออก ตั้งใจทำงานให้ดีและสามารถจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ เป็นเหตุผลหลักเลย

เขากล่าวเสริมว่าพอใจมันเปิดทุกอย่างมันเปลี่ยนอยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนช้าหรือเปลี่ยนเร็ว

รติวัฒน์ สุวรรณไตรย์ ปลดล็อกอดีต เปิดใจให้มีความสุขอีกครั้ง

จุดที่เขาก้าวผ่านมาได้ที่มันสำคัญ เมื่อผ่านจุดตกต่ำที่สุดมาแล้วเขาก็จะไม่ทำให้ตัวเองกลับไปอยู่ในจุดเดิมเมื่อจิตใจดีขึ้น เขาเริ่มตั้งเป้าหมายในใจ นั่นก็คือการสร้างชื่อเสียงให้คนต่างชาติได้รู้ว่าคนไทยเก่งและมีความสามารถไม่แพ้ใครในโลก โดยการทำตัวเองให้มีชื่อเสียงเป็นสถาปนิกแนวหน้าของประทศให้ได้

“ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง แต่ผมจะเห็นภาพว่าเราอยู่ในนั้นเสมอเพราะว่าถ้ามี อย่างถ้าต่างชาติอยากเจอสถาปนิกในไทย แล้วเขาเสิร์ช Toparchitect Thailand เราจะขึ้นหนึ่งในนั้นเสมอตอนนี้ วันหนึ่งผมอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องอันดับ ถ้าใครนึกถึงสถาปนิกในเมืองไทยจะมีเราในนั้นเสมอ”

ชีวิตตอนนี้ของเขาถูกเติมเต็มและเขามีความสุข 100% การใช้ชีวิตของเขายังคงเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การมีพลังและกำลังใจ การนำหลักคำสอน ธรรมะและทางสายกลางที่เขาเข้าใจอย่างแท้จริงมาประกอบการใช้ชีวิตประจำวัน เราไม่ได้ทำเพื่อหนี

“เราทำเพื่อที่จะประกาศตัวเองกับโลกเลยว่า นี่คือของของคนไทย นี่คือพื้นที่หนึ่งของคนไทย เราคือสถาปนิกไทยที่เก่งเท่ากับทุกคนในโลก ผมตั้งเป้าหมายเล็กๆ หลายอัน แต่มันจะเรียบง่ายและยิ่งใหญ่”