posttoday

บอกลา 'ไมเกรน' มายเฟรนด์คนทำงาน

17 กุมภาพันธ์ 2563

อายุรแพทย์แนะนำวิธีหลีกเลี่ยงอาการปวดศีรษะไมเกรนโดยไม่ต้องพึ่งยา หนึ่งในเรื่องทรมานที่พบมากในหญิงวัยทำงาน

ไมเกรน (Migraine) คืออาการปวดศีรษะข้างเดียว ซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณบ่า คอ ท้ายทอย และเกิดก้อนเนื้ออักเสบ ที่เรียกว่า Trigger Point บริเวณดังกล่าว มีผลทำให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะได้ไม่สะดวก

ก่อนที่จะพึ่งยาแก้ปวดครั้งต่อไปลองมาดูว่ามีวิธีไหนที่ช่วยบรรเทาหรือหยุดอาการปวดหัวให้หมดไปได้ จากคำแนะนำของ เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์จากคลินิกโรคปวดศีรษะ ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล

เพราะการกินยาไม่ใช่คำตอบสุดท้ายบางคนกินยาเข้าไปแล้วอาการปวดก็ยังไม่หายแถมยังสะสม ส่งผลกระทบต่อตับและไตตามมาในภายหลัง หรือในคนไข้บางคนที่ไม่สามารถกินยาแก้ปวด เนื่องจากมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ยาจึงไม่ใช่ทางออกเสมอไป 

แล้วถ้าไมเกรนมาเยือนครั้งต่อไป จะต้องทำอย่างไร คุณหมอบอกว่า อันดับแรกจะต้องหาสาเหตุของอาการปวดหัว โดยสังเกตดูว่าทุกครั้งที่มีอาการปวดหัว เริ่มต้นจากอะไร เพราะแต่ละคนมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวแตกต่างกัน 

“บางคนอาการป่วยมาพร้อมกับความเครียดและพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ บางคนเริ่มปวดหัวหลังการเผชิญกับแสงแดดจ้าในเวลากลางวันหรืออากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางคนรู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง หรือได้กลิ่นฉุนจากน้ำหอม กลิ่นควันธูป เหล่านี้คือปัจจัยยอดฮิตที่ทำให้อาการปวดกำเริบและเป็นปัญหาใหญ่ของคนไข้ในปัจจุบัน” คุณหมอ กล่าว 

นอกจากปัจจัยที่ว่ามาแล้ว อาหารบางประเภทยังมีส่วนเสริมทำให้อาการกำเริบ เช่น อาหารแปรรูป อย่างไส้กรอกรมควัน ที่มีส่วนผสมของสารกันบูด อาหารประเภทหมักดอง ผงชูรส น้ำตาลเทียม ผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์แดง เบียร์ เครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน กาแฟ ชา โกโก้ น้ำอัดลม ตลอดจนชีสและผงชูรส 

หรือผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงมีรอบเดือน ทำให้สมองมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และการอดอาหารก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นอาการได้เช่นกัน 

บอกลา 'ไมเกรน' มายเฟรนด์คนทำงาน

เมื่อค้นหาสาเหตุเจอแล้ว สิ่งที่ควรทำคือหลีกเลี่ยง หรือหยุดปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นให้ได้

คุณหมอย้ำว่า การที่คนไข้เดินทางมาพบแพทย์ จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมกับอาการที่เป็น แม้กระทั่งข้อปฏิบัติในการทานยาที่หลายคนอาจยังไม่รู้ เช่น เมื่อรู้สึกปวดหัวแล้วให้รีบกินทันทีเพื่อระงับอาการ แทนที่จะทนให้อาการปวดรุนแรงก่อนถึงจะกินยา ซึ่งเป็นผลเสีย เพราะเมื่อร่างกายเข้าใจว่ายอมรับอาการปวดได้ ก็จะเริ่มปรับระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น 

“การค้นหาสาเหตุให้พบจะนำมาสู่การรักษาอย่างถูกวิธี เพราะหลายครั้งที่แพทย์ตรวจพบว่า สาเหตุของไมเกรนไม่ได้มาจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอก แต่เป็นอาการปวดที่มาจากปัจจัยภายใน เช่นปวดจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งต่อให้ทานยาเป็นประจำก็ใช่ว่าจะหาย” คุณหมอ กล่าว 

นอกจากการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ ปัจจุบันมีการนำเทคนิคใหม่ในการวินิจฉัยและรักษาอาการปวดศีรษะอย่างได้ผล เช่น ไบโอฟีดแบ็ค (Biofeedback) เพื่อวัดการทำงานของร่างกายขณะปวดหัว เปรียบเทียบกับร่างกายในยามที่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเต้นของหัวใจ กล้ามเนื้อ ความดัน อุณหภูมิ ใช้เป็นเกณฑ์ในการฝึกร่างกายให้ผ่อนคลาย กำหนดลมหายใจลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เพื่อให้อาการปวดค่อยๆ ทุเลา และทานวิตามินเสริม เช่น วิตามินบี 2 เกลือแร่ และโคเอนไซม์คิว 10 

ส่วนกรณีอาการปวดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จากความผิดปกติของโครงสร้าง ร่างกาย ท่านั่ง ยืน เดิน หรือนอนที่ไม่ถูกต้องทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่สมดุล และเกิดการฉีกขาดได้นั้น การทำกายภาพบำบัดมีส่วนช่วยแก้อาการปวดหัวได้เช่นกัน 

เทคนิคสุดท้ายที่จะหลีกเลี่ยงคือ แพทย์ทางเลือกอย่างการฝังเข็มบริเวณหน้าผาก ขมับ ท้ายทอย กลางกระหม่อม และกระบอกตา จะช่วยให้เส้นลมปราณที่ติดขัดไหลเวียนได้สะดวก ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหาให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น ผลจากฝังเข็ม 10 ครั้ง ใน 1 เดือน สามารถบรรเทาอาการปวดในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี