posttoday

งานวิจัยชี้ “ดื่มน้ำผลไม้” เชื่อมโยงกับ “โรคมะเร็ง”

15 กรกฎาคม 2562

รู้หรือไม่ ดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่น้ำตาลทุกวันอย่างน้อย 1-2 แก้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคและหนึ่งในนั้นคือ “มะเร็ง” แล้วจะเลือกดื่มน้ำผลไม้อย่างไรให้ได้ประโยชน์?

รู้หรือไม่ ดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่น้ำตาลทุกวันอย่างน้อย 1-2 แก้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคและหนึ่งในนั้นคือ “มะเร็ง” แล้วจะเลือกดื่มน้ำผลไม้อย่างไรให้ได้ประโยชน์?

งานวิจัยชี้ “ดื่มน้ำผลไม้” เชื่อมโยงกับ “โรคมะเร็ง”

สื่อนอกรายงานผลงานวิจัยในวารสารทางการแพทย์ British Medical Journal ล่าสุด ระบุจากผลงานวิจัยในหัวข้อ Sugary drink consumption and risk of cancer หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลทั้งจากการปรุงแต่งและจากธรรมชาติ รวมไปถึงน้ำผลไม้ พบความเกี่ยวโยงกันระหว่าง “น้ำผลไม้” กับ “โรคมะเร็ง” หรือการดื่มน้ำผลไม้อาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง

โดยทำการศึกษากับคนวัย 42 ปีที่มีสุขภาพดีจำนวน 101,257 คน และติดตามการดื่มเครื่องดื่มที่มีความหวานจากน้ำตาลการปรุงแต่งกว่า 94 ชนิด ทั้งน้ำอัดลม เกลือแร่ น้ำผลไม้ รวมไปถึงเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานอีก 12 ชนิด พบว่า หากดื่มเครื่องดื่มในปริมาณ 100 มิลลิลิตรเท่ากัน โดยเฉพาะกับน้ำอัดลม และน้ำผลไม้ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่ไม่แตกต่างกัน

ทั้งนี้้ การดื่มน้ำอัดลม 100 มิลลิลิตร มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง 18% ขณะที่การดื่มน้ำผลไม้ 100 มิลลิลิตร มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง 12% นอกจากนี้ ในงานวิจัยยังระบุอีกว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้ทุกวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ดื่มน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มที่น้ำตาลทุกวันอย่างน้อย 1-2 แก้ว ก็จะถือว่ามีความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคอื่นๆ ได้มาก และหนึ่งในนั้นคือ “มะเร็ง” ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ได้ทำการวิจัยร่วมด้วยแต่ก็ปราศจากน้ำตาล คือ น้ำเปล่า ชาที่ไม่มีรสหวาน กาแฟ ก็ไม่มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ระบุให้ชัดว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การดื่มน้ำผลไม้จะมีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง แต่ก็พอจะสรุปได้ว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็น “น้ำตาล” จากน้ำผลไม้นั่นเอง

งานวิจัยชี้ “ดื่มน้ำผลไม้” เชื่อมโยงกับ “โรคมะเร็ง”

แล้วจะเลือกดื่มน้ำผลไม้อย่างไรให้ได้ประโยชน์?

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหรือเลือกดื่มน้ำผลไม้ ควรควบคุมปริมาณให้พอเหมาะ โดยไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้วเล็ก หรือ 150 มิลลิลิตร และดื่มพร้อมมื้ออาหารแล้วแปรงฟันทุกครั้ง เนื่องจากน้ำผลไม้นั้นมีน้ำตาลสูง เสี่ยงทำให้ฟันผุได้ รวมทั้งเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่มั่นใจได้ว่าสดใหม่และมีคุณค่าทางสารอาหาร ดังนี้

  • น้ำผลไม้คั้นสด แต่ต้องคั้นโดยไม่ผ่านความร้อน เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร ซึ่งน้ำผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธีนี้จะคงความสดและแร่ธาตุวิตามินต่าง ๆ ได้มากกว่า และผู้บริโภคยังมั่นใจได้ว่าไม่มีการเติมน้ำตาล สารให้ความหวาน หรือสารเติมแต่งกลิ่นรสใด ๆ หากซื้อจากร้านน้ำผลไม้ปั่นหรือคั้นสดก็ควรสั่งแบบหวานน้อยหรือแบบไม่เติมน้ำตาล และอาจดื่มแบบผสมผักผลไม้หลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางสารอาหาร

งานวิจัยชี้ “ดื่มน้ำผลไม้” เชื่อมโยงกับ “โรคมะเร็ง”

  • เครื่องดื่มสมูทตี้ เป็นการปั่นรวมผักผลไม้และส่วนผสมหลายอย่างเข้าด้วยกัน เช่น นม โยเกิร์ต โปรตีน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดเจีย เป็นต้น ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยเปลี่ยนผักหรือผลไม้ที่ไม่ชอบให้เป็นเมนูอร่อยและได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ หากปกติไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของผักใบเขียว อาจนำผักโขมมาปั่นรวมกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่หรือพีชที่มีกลิ่นหอมเพื่อกลบกลิ่นเขียว ตามด้วยนมหรือโยเกิร์ต ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย และควรเลือกโยเกิร์ตธรรมชาติไขมันต่ำ รวมทั้งควบคุมปริมาณผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงอย่างกล้วย และส่วนผสมอื่น ๆ ด้วย เพราะอาจทำให้ได้รับแคลอรี่มากเกินไปได้

ทั้งนี้ การเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่ปั่นแบบไม่แยกกากจะให้คุณค่าทางสารอาหารและมีกากใยมากกว่า ทั้งยังทำให้รู้สึกอิ่มด้วย ในขณะที่น้ำผลไม้คั้นแยกกากนั้นไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอิ่ม จึงทำให้ต้องรับประทานอาหารอื่นๆ เพิ่ม ส่งผลให้ได้รับแคลอรี่สูงขึ้นในแต่ละวัน นอกจากนี้ หลังจากคั้นหรือปั่นก็ควรดื่มให้หมดภายในครั้งเดียว เพราะหากปล่อยไว้ แบคทีเรียจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้มีอาการท้องไส้ปั่นป่วนหรือถ่ายท้องตามมาได้ ส่วนน้ำผลไม้คั้นสดในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ก็ควรเลือกที่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์มาแล้ว