posttoday

คนซื้อรถค้นข้อมูลผ่านออนไลน์ตรึม

30 กันยายน 2560

กูเกิลกางผลสำรวจคนไทย ใช้ช่องทางออนไลน์หาข้อมูลก่อนซื้อรถยนต์ คาดอนาคตลดโชว์รูม

กูเกิลกางผลสำรวจคนไทย ใช้ช่องทางออนไลน์หาข้อมูลก่อนซื้อรถยนต์ คาดอนาคตลดโชว์รูม

นายภูมิภัต ฉัตรแก้ว ผู้จัดการกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ กูเกิล ประเทศไทย เปิดเผยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคไทย ตัดสินใจซื้อรถเปลี่ยนไป จากผลวิจัยหัวข้อการตัดสินใจซื้อรถที่กูเกิลทำร่วมกับ ทีเอ็นเอส พบว่า ผู้บริโภคเลือกที่จะศึกษาและค้นหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ก่อน เมื่อไปถึงโชว์รูมก็จะตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ผู้ที่จะซื้อรถกว่า 74% จะยังไม่มีตัวเลือกที่ชัดเจนก่อนหาข้อมูล แต่เมื่อมีปัจจัยเกื้อหนุนอย่างสถานการณ์ทางการเงินดีขึ้น ครอบครัวขยายใหญ่ขึ้น เปลี่ยนงานหรือได้งานใหม่ แต่งงานและเหตุผลด้านสุขภาพ จะทำให้ผู้บริโภคมองหารถยนต์ใหม่เพื่ออำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ 96% ของผู้บริโภคจะค้นหาข้อมูลผ่านเสิร์ชเอนจิ้นก่อน จากนั้นจะเป็นการดูพรีวิวผ่านวิดีโอออนไลน์ 88% และอีก 82% จะดูผ่านโซเชียล มีเดีย ดังนั้น ผู้ที่เริ่มมองหาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์จะเลือกดูผ่านวิดีโอออนไลน์เกี่ยวกับรถรุ่นใหม่ที่ไม่เคยคิดจะซื้อมาก่อน 87% อีก 77% ชมวิดีโอออนไลน์เพื่อให้กรอบการพิจารณาแคบลง และอีก 94% จะติดตามอย่างต่อเนื่อง โดย 49% ของผู้ที่รับชมวิดีโอออนไลน์จะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของตัวแทนจำหน่าย 44% จะถามราคาจากนั้นก็อยู่ที่ฝ่ายขายแต่ละแบรนด์

นายภูมิภัต กล่าวว่า กูเกิลเชื่อว่า การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าจะช่วยให้ค่ายรถยนต์วิเคราะห์และตัดสินใจในการวางแผนลงสื่อโฆษณาได้ดีขึ้น เลือกใช้สื่อได้อย่างเหมาะสมและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมแนะ ให้แบรนด์สร้างคอนเทนต์ให้โดนใจ ผู้ชม โดย 47% ควรมีรีวิวรถหรือทดลองขับการทดสอบเปรียบเทียบ 44% นำเสนอความปลอดภัยของรถ 40% ชมสภาพภายในและนอกรถ อีก 39% นำเสนอสมรรถนะของรถและควร เลือกผลิตคอนเทนต์แบบ 360 เพื่อให้ลูกค้ามีการเห็นสินค้ารอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อและลดการเดินทางไปที่ศูนย์บริการ

ด้าน นายศรุต อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) กล่าวว่า เรื่องของศูนย์บริการไม่ได้หายไปจากตลาด แต่จะปรับรูปแบบให้รองรับบริการลูกค้าได้ดีขึ้น และยังคงมีแผนขยายสาขาที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด แต่ต้องยอมรับว่าการใช้ช่องทางออนไลน์สื่อสารกับลูกค้าจะเป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งที่พนักงานต้องรู้จักปรับตัว เพื่อให้งานบริการดีขึ้นกว่าเดิม

สำหรับการลงทุนโฆษณาออนไลน์นั้น ทุกแบรนด์ลงทุนกันไม่น้อยกว่า 80-100 ล้านบาท เพราะช่วยลดต้นทุนด้านสื่อหลักแบบเดิม รวมทั้งเข้าถึง ผู้บริโภคได้ดีขึ้น โดยบริษัทยังคงควบคู่งานบริการและสื่อสารการตลาดอย่างเหมาะสม เพราะหลังจากที่มีการทำสื่อโฆษณาออนไลน์ทุกรูปแบบ พบว่าลูกค้าเดินทางเข้ามาที่โชว์รูมลดลง และการติดต่อขอทดลองขับก็น้อยลง