แชตเสียวออนไลน์"รักสนุกหรือนอกใจ"
ผลสำรวจของต่างประเทศสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันว่า การนอกใจไม่ใช่แค่เพียงการมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่สามีภรรยาเท่านั้น
ผลสำรวจของต่างประเทศสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันว่า การนอกใจไม่ใช่แค่เพียงการมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่สามีภรรยาเท่านั้น
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
สิ่งแรกสุดที่ เอมี ออสติน ทำ เมื่อได้เห็นการถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวของแอนโทนี ไวย์เนอร์ สมาชิกสภาคองเกรสที่สร้างความตื่นตะลึงด้วยการออกมารับสารภาพว่าเป็นผู้ส่งภาพเชิงลามกอนาจารไปให้หญิงสาวอีกคนที่ไม่ใช่ภรรยาของตนเอง คือการหันไปบอก จอน ออสติน สามีที่นั่งดูการถ่ายทอดสดด้วยกันในบ้านที่มินเนโพลิสว่า
“คุณได้ตายแน่ๆ (ถ้าคุณทำแบบนั้น)”
หากไม่คำนึงถึงอนาคตหน้าที่การงานที่ดับวูบลงอย่างน่าเสียดายแล้ว คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจของชาวอเมริกันชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคู่สามีภรรยา จนนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างกว้างขวางก็คือ สภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่ได้กระทำลงไปของ สส.ไวย์เนอร์ ที่จำต้องอธิบายให้กับคนที่บ้านเข้าใจ
แน่นอนว่า ประเด็นที่โต้แย้งกันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมฉาวประเภทลงมือทำแบบอีเลียต สปิตเซอร์ อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ที่พัวพันข่าวซื้อบริการหญิงโสเภณี และมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งค้าประเวณี จนต้องลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2551 แต่เป็นคำถามที่พูดถึงเส้นแบ่งไม่ชัดเจนของความสัมพันธ์บนอินเทอร์เน็ต ว่าการแชตเสียว ส่งภาพสื่อความหมายสองแง่สามง่ามผ่านอีเมลหรือทวิตเตอร์ ซึ่งเป็นเพียงโลกเสมือนจริง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ เข้าข่ายนอกใจหรือไม่
คำตอบย่อมมีหลากหลายตามความเห็นส่วนบุคคล แต่ชาวอเมริกันโดยมากเชื่อว่า นั่นคือพฤติกรรมนอกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“คำตอบของผม ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะส่งหรือโพสต์ข้อความกรุ้มกริ่มแบบนั้นขณะอยู่ต่อหน้าคู่รักคุณหรือไม่” จอน ออสติน พนักงานบริษัทประชาสัมพันธ์ในวัย 52 ปี เปิดอกคุยกับผู้สื่อข่าวเอพีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับไวย์เนอร์ โดยออสตินมองว่าหากคำตอบคือใช่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะส่ง นั่นเท่ากับไม่เข้าข่ายพฤติกรรมนอกใจ แต่ถ้าคำตอบคือไม่ ก็เท่ากับว่าเจ้าตัวกำลังเจตนาก่อพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบคู่รักตนเอง
จากการตามสำรวจรวบรวมข้อมูลของสำนักข่าวเอพีทางอินเทอร์เน็ตและการสอบถามทางโทรศัพท์พบว่า ผู้เข้าร่วมหลายรายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การนอกใจไม่จำเป็นต้องหมายรวมแค่การมีความสัมพันธ์ทางกายกับคนอื่นที่ไม่ใช่สามีภรรยาเท่านั้น
“ฉันคิดว่าความรู้สึกเหมือนโดนทรยศเป็นอะไรที่แย่พอกัน คนที่แต่งงานแล้วไม่สมควรที่จะมาทำเจ้าชู้ไก่แจ้ใดๆ บนโลกออนไลน์ เพราะมันคือการแสดงให้เห็นถึงความไม่ซื่อสัตย์ ช่วยทำตัวให้สมกับคนที่มีเจ้าของแล้วหน่อย” มาริสสา โบห์ลัน นักศึกษาสาวในวัย 22 ปี ออกความเห็น
ขณะที่เบกี ฮาเยส จากรัฐเทกซัสเห็นว่า ความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์กลายเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับตนเองอย่างชัดเจนที่สุด เมื่อจับได้ว่าแฟนหนุ่มใช้โน้ตบุ๊กส่วนตัวของฮาเยสแอบส่งข้อความเสน่หาไปให้เพื่อนที่คบหากันทางอินเทอร์เน็ต
แม้ฝ่ายชายจะยืนยันหนักแน่นว่าไม่เคยเห็นเพื่อนที่คบหากันบนโลกออนไลน์มีตัวตนจริง แต่ฮาเยสก็แอบรู้มาว่า ทั้งคู่อยู่ในระหว่างวางแผนนัดพบกันอย่างลับๆ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฮาเยสตัดสินใจเผชิญหน้ากับแฟนหนุ่มอย่างจริงจัง จนถึงขั้นยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด
ทั้งนี้ ในทัศนะของสาวนักดนตรีอย่างฮาเยส แม้สิ่งที่ทำบนโลกออนไลน์จะไม่ใช่ของจริง แต่มันคือความจริง
“สำหรับผู้ชายอาจจะถูกล่อลวงได้ง่ายกว่า เพราะว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ช่วยให้ผู้ชายหลีกหนีความรับผิดชอบและแรงกดดันต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทั่วไปของคู่รัก” ฮาเยส สรุป
ความคิดเห็นของฮาเยสข้างต้นได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาการติดอินเทอร์เน็ต โดยระบุว่า หลายคนเลือกที่จะแสวงหาความสัมพันธ์บนอินเทอร์เน็ตเป็นเพราะต้องการหลบหนีจากแรงกดดันในชีวิตประจำวัน และโลกออนไลน์ก็ช่วยให้หาความสำราญได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถปกปิดสถานะที่แท้จริงไว้ได้ จนกลายเป็นใครก็ได้ที่ต้องการ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดสำหรับบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก อย่าง สส.ไวย์เนอร์
แต่สำหรับ คิมเบอร์ลี ยัง ผู้อำนวยการศูนย์บำบัดผู้มีอาการติดอินเทอร์เน็ต กลับมองว่า ความรู้สึกที่ผู้คนแบ่งแยกตัวตนจากโลกออนไลน์อย่างชัดเจน นับเป็นเรื่องที่มีอันตรายแฝงอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนผู้นั้นปิดหน้าจอโน้ตบุ๊ก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจอย่างชัดเจนก็คือ การปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมือทำจริงๆ คนที่ทำไม่ใช่ตนเอง และนั่นส่งผลให้คนอีกมากไม่เห็นว่าการกระทำนอกลู่นอกทางประเภทนี้ คือความไม่ซื่อสัตย์
“ฉันพบเจอคนที่แต่งงานแล้วหลายคนพยายามปิดบังพฤติกรรมเหล่านี้จากคู่สมรสของตนเอง ทั้งการซ่อนบิลค่าโทรศัพท์ หรือการแอบนัดพบกันบนโลกออนไลน์ โดยที่มองว่าพฤติกรรมเหล่านั้นไม่ใช่การนอกใจ เพราะพวกเขาพูดเสมอว่า ยังคงรักภรรยาอยู่เสมอ” นักจิตวิทยาปฏิบัติเช่น ยัง กล่าว
ทั้งนี้ โมนิกา เทอร์เนอร์ พนักงานบริษัทกราฟฟิกดีไซน์ในวัย 49 ปี เริ่มระแคะระคายว่ามีบางสิ่งผิดปกติร้ายแรงเกิดขึ้นกับชีวิตรักเมื่อเห็นใบเสร็จค่าโทรศัพท์ยาวเป็นหางว่าว ซึ่งบันทึกประวัติการส่งข้อความระหว่างสามีที่ไม่ได้สมรสตามกฎหมายกับเพื่อนสาวสมัยประถมซึ่งพบกันอีกครั้งบนเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่างเฟซบุ๊ก ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์
ทว่า แฟนหนุ่มซึ่งอยู่กินด้วยกันมา 8 ปีกลับมองว่า เทอร์เนอร์คิดมากเกินไป
“เขาบอกฉันว่าเขาไม่ได้ตกหลุมรักเธอคนนั้น ซึ่งฉันไม่ค่อยจะเชื่อมั่นเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉันมั่นใจก็คือหล่อนกำลังมีความรักกับคนของฉัน” เทอร์เนอร์ กล่าว พร้อมเล่าเพิ่มเติมว่าประสบการณ์ที่แสนสาหัสในครั้งนั้น ทำให้ตนเองต้องนำมาเขียนเป็นเพลงระบายความรู้สึกโดยให้ชื่อว่า “Don’t Let Facebook Screw Up Your Life”
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างแฟนหนุ่มกับเพื่อนสาวสมัยเด็กดูจะทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด เทอร์เนอร์จึงตัดสินใจยื่นคำขาด และนั่นทำให้แฟนหนุ่มของเทอร์เนอร์เลิกพฤติกรรมส่งข้อความสานสัมพันธ์ แม้จะยืนกรานว่าสิ่งที่ทำเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเช่นเพื่อนสนิททั่วไปก็ตาม
“ฉันตัดสินใจเชื่อคำพูดของเขาที่บอกว่าเขารักฉัน และคิดไม่ออกว่าจะอยู่ได้อย่างไรหากปราศจากฉัน” เทอร์เนอร์ เล่า
จากหลักฐานทางสถิติที่มีการสำรวจ ผลการศึกษาล่าสุดจาก เอบีซี นิวส์ โพล เมื่อปี 2547 ระบุว่า 64% ของผู้ใหญ่เห็นตรงกันว่า หากคนที่แต่งงานหรือมีคู่รักที่อยู่กินเป็นตัวเป็นตนแล้ว ใช้บริการแชตรูมบนอินเทอร์เน็ตเพื่อพูดคุยเรื่องเซ็ก นั่นเท่ากับว่า คนเหล่านั้นไม่ซื่อสัตย์กับคู่ของตนเอง ขณะที่มีเพียง 33% เท่านั้น ที่เห็นไปในทางตรงกันข้ามว่าไม่ผิด
อย่างไรก็ตาม เซ็กแชต ก็ยังคงมีความแพร่หลายในหมู่ผู้ใหญ่ ซึ่งจากการสำรวจออนไลน์ของ พิว อินเทอร์เน็ตและอเมริกัน ไลฟ์ โปรเจก เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2553 พบว่า 15% ของผู้ใหญ่ ได้รับภาพนู้ดหรือภาพที่ส่อไปในทางลามกอนาจารผ่านโทรศัพท์มือถือ และ 6% ยอมรับว่าเป็นผู้ส่งภาพเหล่านั้น ขณะที่ประชากรในวัย 18-29 ปี สัดส่วนที่ได้รับภาพนู้ดสูงถึง 31% ส่วนสัดส่วนที่ส่งภาพดังกล่าวสูงถึง 13%
อแมนดา เลนฮาร์ท นักวิจัยอาวุโสของพิว กล่าวว่า ความแพร่หลายที่เพิ่มขึ้นในหมู่วัยรุ่นตอนปลายสร้างความประหลาดใจไม่น้อย แต่หากคิดในแง่ที่ว่า วิธีการส่งภาพทะลึ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเกี้ยวพาราสีในปัจจุบัน ก็นับเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับมาดูกรณีอื้อฉาวล่าสุดที่เกิดขึ้นกับไวย์เนอร์ หนุ่มผู้มีพันธะและเป็นสมาชิกสภาคองเกรสที่เพิ่งยอมรับสารภาพทั้งน้ำตาว่าเป็นผู้ทวีตภาพเป้ากางเกงตนเองให้กับหญิงสาวในซีแอตเทิล หลังจากที่ปฏิเสธมาโดยตลอด อีกประเด็นคำถามที่ผุดขึ้นมาก็คือว่า ชายและหญิง มีมุมมองต่อเรื่องที่ว่าต่างกันหรือไม่
เกล ซอลท์ นักจิตวิทยาซึ่งดูแลคู่รักหลายคู่ในแมนฮัตตันเห็นว่าชายและหญิงคิดแตกต่างกันแน่นอน
“สำหรับผู้ชาย มุมมองต่อพฤติกรรมทางเพศเป็นเรื่องที่ทำให้ปั่นป่วนได้มากกว่าอะไรทั้งหมด ขณะที่สำหรับผู้หญิง อารมณ์ความรู้สึกและการมีเพศสัมพันธ์ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่การทรยศหักหลัง” ซอลท์ ระบุ
มุมมองดังกล่าวส่งผลให้ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะให้อภัยผู้ชายด้วยกันเอง หากเกิดความผิดพลาด แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะยอมให้อภัยคู่รักของตน ซึ่งส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นเรื่องที่กวนใจอย่างมากหากแฟนสาวหรือภรรยาไปทำเจ้าชู้บนโลกออนไลน์
ทางด้าน ชองแตล ดูปุยส์ เชื่อมั่นว่า หากเป็นสาระสำคัญของประเด็นทางเพศ ชายและหญิงมีมุมมองต่างกันอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น เมื่อคิดไม่เหมือนกัน จึงลงมือทำไม่เหมือนกัน
สำหรับดูปุยส์ เมื่อผู้ชายรู้สึกว่าต้องเป็นลูกผู้ชาย จึงคิดกันว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จะต้องแสดงออกมาผ่านการบริหารเสน่ห์ด้วยการจีบไปทั่วมั่วไม่เลือก ซึ่งนั่นทำให้ดูปุยส์สรุปได้ชัดเจนอย่างไม่ยากเย็นว่า พฤติกรรมเจ้าชู้ออนไลน์คือการนอกใจ 100% เพราะความคิดก็ถือเป็นการกระทำรูปแบบหนึ่ง
ขณะที่นักจิตวิทยาอย่างเอเลนา คาตซ์ มองว่า พฤติกรรมนอกลู่นอกทางเหล่านี้ใช่ว่าจะเลวร้ายสักทีเดียวสำหรับสถานภาพสมรส เพราะทำให้คู่รักเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามอุปสรรคที่แสนสาหัสนี้ไปด้วยกัน หากกิจกรรมออนไลน์เหล่านั้นไม่ได้ไปไกลเกินกว่าจุดที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้ เนื่องจากในหลายกรณี พฤติกรรมที่ว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ช่วยให้มองเห็นปัญหาบางอย่างในชีวิตคู่
“ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนสามารถที่จะฟื้นฟูขึ้นมาได้จากการค้นพบพฤติกรรมเหล่านี้ โดยที่บางกรณี พฤติกรรมดังกล่าวทำให้คู่รักหลายคู่หันหน้าเข้าคุยกัน และพูดถึงปัญหาที่ไม่เคยเอ่ยถึงกันมาก่อน” คาตซ์ แสดงความเห็น
มุมมองของนักจิตวิทยาสาวเช่นคาตซ์ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเทอร์เนอร์ ซึ่งยอมรับว่า การถกเถียงในเรื่องใบเสร็จโทรศัพท์ทำให้เทอร์เนอร์และแฟนหนุ่มได้เปิดอกคุยกันแบบหมดเปลือกในหลายๆ เรื่อง เป็นการพูดคุยที่ทั้งคู่ไม่เคยทำมาก่อน และจบลงที่ความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย เฉกเช่นท่อนหนึ่งในเนื้อเพลงที่เทอร์เนอร์เขียนไว้
“เขาไม่ได้พบเธออีกเลยตั้งแต่เรียนเกรด 7 เธอส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนกับเขา ใครเลยจะรู้ว่า สิ่งที่ไร้เดียงสาแบบนั้น จะก่อให้เกิดปัญหามากมายเพียงนี้”


