สัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น แน่นแฟ้นแม้ยามวิกฤต
ทันทีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2554
ทันทีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2554
สิ่งแรกที่ เซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยลงมือทำคือ พยายามรวบรวมข้อมูลเหตุการณ์และตามติดข่าวความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และภาวนาว่าญี่ปุ่นจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เหมือนเช่นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ทว่า หลังจากนั้นไม่นานนัก ทันทีที่มีข่าวสึนามิ ตามมาด้วยวิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองฟูกุชิมา ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะพลิกผันและหนักหนาเกินกว่าที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศจะรับได้
“มันเป็นสิ่งที่เกินความคาดฝัน” ท่านทูตเซอิจิ โคจิมะ กล่าว
ภาพที่ปรากฏออกมาตามสื่อต่างๆ สะท้อนคำพูดของเอกอัครราชทูตได้เป็นอย่างดี เป็นภาพทรงพลังที่ก่อให้เกิดความรู้สึกระคนกันระหว่างตื่นตะลึง นิ่งงันและสะเทือนใจ
กระนั้น ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ท่านทูตเซอิจิ ยิ้มออกมาได้บ้าง เมื่อได้รับข้อมูลตรวจสอบความเสียหายทั้งหมด และพบว่า ความเสียหายที่หนักหนาสาหัสที่สุดจำกัดบริเวณอยู่ที่เมืองฟูกุชิมาเป็นหลัก
“สิ่งที่เราทำต่อมา คือการเฝ้าตรวจสอบระดับการปนเปื้อนของกัมมันตรังสี คอยประสานงาน และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางการไทยเป็นอย่างดี เราเฝ้าตรวจสอบจนแน่ใจว่า สินค้าที่นำเข้ามาปราศจากการปนเปื้อนแน่นอน” ท่านเอกอัครราชทูต กล่าว
ท่ามกลางความโหดร้ายที่ต้องเผชิญ ญี่ปุ่นกลับสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความอบอุ่นห่วงใยที่หลั่งไหลมาจากนานาประเทศรวมถึงประเทศไทย เป็นความช่วยเหลือที่เกินความคาดหมาย
น้ำใจหนึ่งเดียวของคนไทยที่ร่วมมือร่วมใจให้กับผู้ประสบภัยชาวญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ท่านทูตบอกได้คำเดียวว่าเป็นของล้ำค่าที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ โดยความช่วยเหลือที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับล่าสุดจากไทย และเป็นสิ่งที่กำลังต้องการ ก็คือ แรงงานบุคลากร
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขไทย ได้เตรียมทีมกุมารแพทย์จากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีจำนวน 2 ทีม ประกอบด้วยแพทย์และพยาบาลอย่างละ 1 คน ทีมแรกคือนพ.นริศ วารณะวัฒน์ แพทย์ผู้ชำนาญการพิเศษ และรุ่งทิวา อัศวินานนท์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ซึ่งจะเดินทางไปปฏิบัติงานร่วมกับทีมแพทย์ญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยแพทย์ฟูกุชิมาระหว่างวันที่ 721 พ.ค. โดยจะออกให้บริการแก่ผู้ประสบภัย ณ จุดพักพิงเมืองฟูกุชิมา
ขณะที่ทีมที่ 2 ซึ่งจะเดินทางไปในวันที่ 18 พ.ค.4 มิ.ย.นี้ เพื่อผลัดเปลี่ยนประกอบด้วย นพ.สุทธิพงษ์ ปังคานนท์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และขิ่ม สกุลนุ่ม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
นพ.นริศ หนึ่งในทีมงานที่จะเดินทางไปทำงานด้านการตรวจรักษาในเมืองฟูกุชิมา เปิดใจระหว่างงานเลี้ยงขอบคุณจากสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นก่อนที่ทีมแพทย์ทั้งสองชุดจะออกเดินทางว่า แพทย์และพยาบาลที่ร่วมทีมในครั้งนี้ล้วนยกมืออาสาไปด้วยใจกันทั้งสิ้น แม้จะหวั่นต่อภัยกัมมันตรังสี แต่ความต้องการที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มีมากกว่า ประกอบกับข้อมูลที่ทางสถานทูต และข้อเท็จจริงจากแหล่งอื่นๆ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ฟูกุชิมา ปลอดภัยดี โดยการไปครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์มากมาย นอกจากอุปกรณ์ตรวจรักษาส่วนตัว เนื่องจากทางญี่ปุ่นมีอุปกรณ์ครบถ้วน ขาดแต่คุณหมอและพยาบาลที่ให้ความช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประสบภัยเท่านั้น
ด้าน นพ.สุทธิพงษ์ คุณหมอทีม 2 ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ต้องระวังในการไปตรวจในครั้งนี้ ก็คือโรคติดเชื้อ อย่างไข้หวัดและท้องเสีย เนื่องจากเป็นโรคปกติที่พบได้บ่อยในกรณีที่อาศัยอยู่ในแหล่งแออัด พร้อมระบุว่า การไปในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตอบแทนสิ่งที่ญี่ปุ่นเคยช่วยเหลือประเทศไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความร่วมมือกับไทยในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านการแพทย์
แม้ว่าทางประเทศญี่ปุ่นจะพยายามฟื้นฟูประเทศอย่างเต็มกำลัง แต่ โคจิมะ ยอมรับว่าประเทศกำลังเผชิญหน้ากับความลำบากอย่างยิ่งยวด
“แต่เราก็มีความหวังที่จะฟื้นฟูประเทศให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง โดยหนึ่งในหวังของเรา ก็คือกำลังใจที่ได้มาจากประเทศไทย” ท่านทูตกล่าวในงานเลี้ยงขอบคุณทีมแพทย์ โดยไม่วายย้ำว่า จิตใจที่ดีงามของไทยในครั้งนี้จะนำพาความหวังให้กับเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในสถานที่พักพิง
ด้วยความช่วยเหลือจากทุกฝ่าย ทำให้สถานการณ์ของประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้เริ่มดีขึ้นในทุกด้าน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มต้นฟื้นฟูและก่อสร้างบ้านพักอาศัยบนพื้นที่ที่ประสบภัยอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ ดำเนินการด้วยความมุ่งหวังที่จะให้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้าน ขณะเดียวกันก็พร้อมด้วยความสามารถในการรองรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ซึ่งจะครบรอบ 125 ปี ในปี 2555 และจะยืนยงยาวนานต่อไปในอนาคต โดยญี่ปุ่นพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในทุกๆ ด้าน ร่วมทั้งด้านการจัดการและรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ย้ำปิดท้ายด้วยภาษาไทยสั้นๆ ว่าขอบคุณ และมิวายหยอดมุขน่ารักๆ โดยขอให้คนไทยช่วยสนับสนุนสินค้าของประเทศญี่ปุ่นต่อไป เนื่องจากสินค้าที่ส่งมาให้เพื่อนอย่างประเทศไทยนั้นปลอดภัย 100% ท่านทูตขอรับรอง


