ตลาดหุ้นสหรัฐรีบาวด์ ข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวก หลังข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการแข็งแกร่ง หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน แม้กังวลมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีสูงเกินจริง
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์
- ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวก เช่น การจ้างงานภาคเอกชนที่ฟื้นตัวและการขยายตัวของภาคบริการ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาด
- ปัจจัยบวกเหล่านี้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกระตุ้นให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันพุธ โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาดและข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวก ซึ่งช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่สูงเกินจริง และกระตุ้นให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
การซื้อขายในวันดังกล่าวเป็นการปรับตัวขึ้นในวงกว้าง โดยทั้งสามดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกทั้งหมด นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ร่วงแรงที่สุดในรอบเกือบหนึ่งเดือนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวลว่าราคาหุ้นอาจปรับตัวเกินมูลค่าพื้นฐาน จนผู้บริหารในวอลล์สตรีทหลายรายออกมาเตือนถึงความเป็นไปได้ในการปรับฐาน
ขณะเดียวกัน ศาลสูงสหรัฐฯ ได้สร้างความไม่แน่ใจในประเด็นทางกฎหมายของมาตรการภาษีนำเข้าที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยประกาศใช้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ด้านรัฐบาลจีนระบุว่าจะยกเลิกภาษีตอบโต้บางรายการต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ยังคงเก็บภาษี 10% สำหรับสินค้าบางประเภท และคงภาษีนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ไว้ที่ 13%
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจ สถาบัน ADP รายงานว่า การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมฟื้นตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 42,000 ตำแหน่ง แม้ตลาดแรงงานยังคงแสดงสัญญาณอ่อนแรงในบางภาคส่วน ขณะที่รายงานอีกฉบับระบุว่าภาคบริการของสหรัฐฯ ยังคงขยายตัว แม้ต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบสูงสุดในรอบเกือบสามปี
วิกฤตทางการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยกดดัน หลังจากที่การเจรจาระหว่างสภาคองเกรสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ส่งผลให้เกิดภาวะ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลกลางที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และนักลงทุนต้องพึ่งพาข้อมูลจากภาคเอกชนมากขึ้น
ในส่วนของผลประกอบการ ไตรมาส 3 ยังคงอยู่ในช่วงสำคัญของการประกาศงบ โดยจากข้อมูลของ LSEG พบว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 379 แห่งได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดย 83% ของบริษัทเหล่านี้มีกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของกำไรในภาพรวมเป็น 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ 8.0% เมื่อต้นไตรมาส
ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 25.08 จุด หรือ 0.36% ที่ระดับ 6,796.63 จุด
ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 151.16 จุด หรือ 0.64% ปิดที่ 23,499.80 จุด
ขณะที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average เพิ่มขึ้น 224.31 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 47,309.55 จุด
ในตลาดพลังงาน ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงกว่า 1% แม้ข้อมูลการบริโภคน้ำมันในสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งช่วยจำกัดการปรับลดลงของราคาไว้บางส่วน
น้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 92 เซนต์ หรือ 1.43% ปิดที่ 63.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ลดลง 96 เซนต์ หรือ 1.59% ปิดที่ 59.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1% เนื่องจากนักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนออกมาดีกว่าคาด
ราคาทองสปอตเพิ่มขึ้น 1.3% อยู่ที่ 3,983.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 3,992.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์.


