ทรัมป์เดินทางออกจากเกาหลีใต้ หลังเสร็จการหารือกับสี จิ้นผิง
ทรัมป์เดินทางออกจากเกาหลีใต้แล้วหลังเสร็จสิ้นการหารือครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 6 ปี กับสี จิ้นผิง ขณะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของการหารือ
KEY
POINTS
- โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางออกจากเกาหลีใต้ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เมืองปูซาน
- การหารือใช้เวลานานประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที แต่ยังไม่มีการเปิดเผยผลการประชุมอย่างเป็นทางการต่อสื่อมวลชน
- การพบปะครั้งนี้เป็นการประชุมแบบตัวต่อตัวครั้งแรกของผู้นำทั้งสองนับตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างการประชุมเอเปค
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ออกเดินทางจากสาธารณรัฐเกาหลีเมื่อวันพฤหัสบดี (ตามเวลาท้องถิ่น) ภายหลังการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ฐานทัพอากาศในเมืองปูซาน ซึ่งใช้เวลาหารือราว 1 ชั่วโมง 40 นาที โดยผู้นำทั้งสองไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหลังการประชุม ทำให้ผลการหารือยังไม่เป็นที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการพบปะกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกของทั้งสองผู้นำตั้งแต่ปี 2562 โดยจัดขึ้นระหว่างการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก (APEC) และเป็นช่วงสุดท้ายของการเดินทางเยือนเอเชียของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวถึงความก้าวหน้าในการเจรจาการค้ากับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ก่อนเริ่มการหารือ ทรัมป์กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า “เราจะมีการประชุมที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ผมไม่สงสัยเลยในข้อนี้ แต่เขา (สี จิ้นผิง) เป็นนักเจรจาที่แข็งแกร่งมาก” ขณะที่สี จิ้นผิง ตอบผ่านล่ามว่า เป็นเรื่องปกติที่สองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกจะมีความขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว พร้อมระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุ ข้อตกลงขั้นพื้นฐาน” ในการแก้ไขข้อกังวลหลักของกันและกันเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ และตนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่ความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ
หลังการประชุมเกือบสองชั่วโมง ทรัมป์ได้จับมือและเดินส่งสี จิ้นผิง ขึ้นรถ ก่อนที่เขาจะได้รับการต้อนรับด้วยพิธีปูพรมแดงที่ท่าอากาศยานในปูซานเพื่อเดินทางออกจากเกาหลีใต้
ภายหลังการหารือ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจากทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบทศวรรษ และค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศจะคลี่คลายลง ซึ่งได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่วอลล์สตรีทจนถึงโตเกียวทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
แม้ว่าทรัมป์จะกล่าวแสดงความมั่นใจถึงความเป็นไปได้ของข้อตกลงทางการค้า หลังจากที่ผู้เจรจาทั้งสองฝ่ายบรรลุบางประเด็นร่วมกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงตั้งข้อสงสัยถึงความยั่งยืนของการผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้าครั้งนี้
ทั้งนี้ ความตึงเครียดได้กลับมาปะทุอีกครั้งเมื่อต้นเดือน หลังจีนเสนอขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง โดยสหรัฐฯ ได้ตอบโต้ด้วยการขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 100% และอาจจำกัดการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ก่อนการประชุม ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Truth Social ระบุว่า “G2 กำลังจะเริ่มการประชุมในอีกไม่นาน” และในโพสต์แยกอีกฉบับ เขากล่าวว่าสหรัฐฯ จะเร่งดำเนินการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ทันที โดยอ้างถึงการขยายศักยภาพทางอาวุธของจีน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับโพสต์ดังกล่าวระหว่างการประชุมในวันพฤหัสบดี.


