พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ถูกโจรกรรม สะเทือนวงการศิลปะ-วัฒนธรรมโลก
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ถูกโจรกรรมอัญมณีล้ำค่า มรดกทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ปฏิบัติการอุกอาจกลางวันแสกๆ ในเวลาไม่ถึง 7 นาที ที่สั่นสะเทือนวงการศิลปะโลก
KEY
POINTS
- กลุ่มคนร้ายบุกเข้าโจรกรรมอัญมณีหลวงของฝรั่งเศสหลายรายการจากห้องแสดงภาพอาพอลโลในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ โดยใช้เวลาก่อเหตุไม่ถึง 7 นาที
- ทรัพย์สินที่ถูกขโมยเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ 8 รายการ ซึ่งมีมูลค่าทางวัฒนธรรมที่ประเมินไม่ได้ โดยเพชรชิ้นสำคัญอย่าง "รีเจ้นท์" ไม่ถูกแตะต้อง ทำให้คาดว่าเป็นการโจรกรรมตามใบสั่ง
- เหตุการณ์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัย และกระตุ้นให้รัฐบาลฝรั่งเศสเร่งสืบสวนและเรียกร้องให้ยกระดับการป้องกันมรดกของชาติ
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) ใจกลางกรุงปารีส ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก ตกเป็นเป้าหมายของเหตุโจรกรรมอัญมณีหลวงฝรั่งเศสอย่างอุกอาจ โดยกลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปยังห้องแสดงภาพอาพอลโล (Apollo Gallery) ซึ่งจัดแสดงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส และลักทรัพย์สินล้ำค่าหลายรายการภายในเวลาไม่ถึง 7 นาที
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมทางวัฒนธรรมครั้งสำคัญของยุโรปในรอบหลายทศวรรษ และได้จุดกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานที่เก็บรักษามรดกทางประวัติศาสตร์ของชาติ
ปฏิบัติการโจรกรรมกลางวันแสกๆ
เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น กลุ่มคนร้าย 4 คน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ขับรถบรรทุกขนาดเล็กซึ่งติดตั้งลิฟต์กลไกมาจอดริมแม่น้ำแซน ก่อนยืดบันไดขึ้นสู่หน้าต่างชั้นบนของอาคาร และใช้ของแข็งทุบกระจกเพื่อบุกเข้าไปยังห้องจัดแสดง
ภายในพิพิธภัณฑ์ คนร้ายใช้อุปกรณ์เช่นเครื่องเจียรไฟฟ้าในการเปิดตู้จัดแสดง 2 ตู้ และลักทรัพย์สินล้ำค่าก่อนจะหลบหนีอย่างรวดเร็วผ่านรถจักรยานยนต์หรือสกู๊ตเตอร์ ใช้เวลาเพียง 6-7 นาที โดยไม่มีการใช้ความรุนแรงหรืออาวุธปืนแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประจำอยู่ภายในอาคารถูกรบกวนและข่มขู่ด้วยอุปกรณ์กลไกโดยไม่เกิดการเผชิญหน้าอย่างรุนแรง
อัญมณีแห่งประวัติศาสตร์ที่สูญหาย
กระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปมีจำนวน 8 รายการ ซึ่งล้วนแต่เป็นสมบัติที่มีความสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ได้แก่:
-เทียร่าและสร้อยคอจากชุดเครื่องประดับของราชินีมารี-อาเมลี และราชินีออร์ตองส์
-ชุดต่างหูและสร้อยคอมรกตของจักรพรรดินีมารี-หลุยส์
-เข็มกลัดระลึก (Reliquary brooch)
-เทียร่าและเข็มกลัดประดับอกของจักรพรรดินียูเจนี
นอกจากนี้ มงกุฎของจักรพรรดินียูเจนี ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติชิ้นสำคัญ ได้รับความเสียหายระหว่างการหลบหนีของคนร้าย และถูกพบตกอยู่ใกล้บริเวณพิพิธภัณฑ์
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า มูลค่าทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมอาจสูงถึงหลายสิบล้านยูโร อย่างไรก็ตาม มูลค่าที่แท้จริงนั้น “ไม่สามารถประเมินได้” เนื่องจากเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
ประเด็นที่น่าจับตามองคือ เพชร “รีเจ้นท์” (Regent Diamond) ซึ่งอยู่ในห้องจัดแสดงเดียวกันและมีมูลค่ากว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลับไม่ถูกแตะต้อง ทำให้ทางการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการโจรกรรมตามใบสั่ง ซึ่งมุ่งเป้าเฉพาะทรัพย์สินบางรายการ
ปฏิกิริยาจากรัฐบาลฝรั่งเศส
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ได้ออกแถลงการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X ประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การโจมตีต่อมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ” พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นในการตามจับคนร้ายและนำทรัพย์สินกลับคืน
รัฐบาลฝรั่งเศสได้สั่งการให้หน่วยงานเฉพาะทางด้านการปราบปรามการค้าวัตถุวัฒนธรรมผิดกฎหมายเข้าร่วมการสืบสวนทันที โดยนางลอร์ เบคคู อัยการกรุงปารีส เผยว่า แนวทางการสอบสวนเบื้องต้นพุ่งเป้าไปยังองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่อาจมีเป้าหมายเพื่อฟอกเงินจากยาเสพติดหรือเพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อจากนักสะสม
หลักฐานในที่เกิดเหตุ เช่น เสื้อกั๊กสะท้อนแสงและรถบรรทุกที่คนร้ายพยายามเผาทำลายได้ถูกเก็บรวบรวมอย่างเร่งด่วน
เสียงเรียกร้องให้ยกระดับความปลอดภัย
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์อย่างหนักถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในพิพิธภัณฑ์ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อมูลเผยว่าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เผชิญปัญหาขาดงบประมาณในการบูรณะและอัปเกรดระบบความปลอดภัย
นางราชิดา ดาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ยอมรับว่าสถานการณ์นี้สะท้อนถึงภัยคุกคามจาก “อาชญากรรมรูปแบบใหม่” และย้ำถึงความจำเป็นในการลงทุนด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง
รัฐมนตรีมหาดไทย นายโลรองต์ นูเญซ กล่าวว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วฝรั่งเศสอยู่ในภาวะ “เปราะบาง” โดยยกตัวอย่างคดีลักทรัพย์มูลค่าหลายแสนยูโรที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
บทเรียนจากอดีต สู่จุดเปลี่ยนครั้งใหม่
เหตุการณ์โจรกรรมครั้งนี้ถูกเปรียบเทียบกับการโจรกรรมภาพวาดโมนาลิซาในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปความปลอดภัยครั้งใหญ่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
นักวิชาการด้านวัฒนธรรมหลายรายตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ในปี 2568 นี้จะเป็นเพียงอีกบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างภาครัฐกับอาชญากรรมทางวัฒนธรรมหรือไม่ หรือจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ผลักดันให้ยุโรปหันมาให้ความสำคัญกับการปกป้องสมบัติล้ำค่าด้วยเทคโนโลยีและความร่วมมือระดับนานาชาติอย่างจริงจัง


