


20+





















เนปาลเดือด เยาวชนลุกฮือโค่นผู้นำ หลังรัฐบาลแบนโซเชียลมีเดีย
เนปาลกำลังเผชิญวิกฤติทางการเมืองครั้งใหญ่ หลังการประกาศแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ จบลงด้วยการลาออกของนายกรัฐมนตรี ชาร์มา โอลี
KEY
POINTS
- รัฐบาลเนปาลสั่งแบนโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งกลายเป็นชนวนเหตุให้กลุ่มเยาวชนและประชาชนลุกขึ้นประท้วงครั้งใหญ่
- การประท้วงบานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรงหลังรัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทำให้มวลชนโกรธแค้นและบุกเผาสถานที่ราชการ
- แรงกดดันจากการประท้วงที่ลุกลามทั่วประเทศส่งผลให้นายกรัฐมนตรีประกาศลาออก และรัฐบาลรักษาการได้ยกเลิกคำสั่งแบนโซเชียลมีเดียในทันที
จุดเริ่มต้นจาก “การปิดกั้นออนไลน์” โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดียหลัก ได้แก่ Facebook, Instagram, YouTube และ X เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568
รัฐบาลให้เหตุผลว่า แพลตฟอร์มดังกล่าว ไม่ได้ดำเนินการลงทะเบียนกับทางการ ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดข่าวปลอม ป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ และสร้างความรับผิดชอบต่อผู้ให้บริการ
แต่ฝ่ายค้านและภาคประชาชนกลับเห็นว่า นี่คือความพยายามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสะท้อนแนวโน้มการรวมศูนย์อำนาจด้านการสื่อสาร
การแบนโซเชียลส่งผลทันทีต่อประชาชนและธุรกิจดิจิทัล ผู้ประกอบการรายย่อยสูญเสียช่องทางทำมาหากิน ครีเอเตอร์ขาดรายได้ นักท่องเที่ยวสับสนกับข้อจำกัด ขณะที่ประชาชนจำนวนมากต้องหันไปพึ่ง VPN แม้ต้องเสี่ยงกับเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล
คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ใช้ TikTok และ Viber ซึ่งยังไม่ถูกแบน เป็นช่องทางระดมมวลชน ภาพนักเรียนในชุดเครื่องแบบออกมาชูป้ายประท้วงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว ข้อเรียกร้องหลักคือ “หยุดคอร์รัปชัน และคืนโซเชียลให้ประชาชน”
ธนาคารโลกระบุว่า กว่า 20% ของประชากรเนปาลยังอยู่ในความยากจน และอัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนสูงกว่า 22% ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่พอใจที่สะสมมายาวนาน การแบนโซเชียลมีเดีย จึงยังถูกมองว่ากระทบการสร้างรายได้ของกลุ่มผู้ค้าออนไลน์และบรรดาครีเอเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรายได้ไม่สูงด้วย
วันที่ 8 กันยายน รัฐบาลสั่งใช้กำลังเต็มรูปแบบเพื่อสลายการชุมนุม มีการยิงแก๊สน้ำตา ปืนแรงดันน้ำ และกระสุนจริง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 คน เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในวันที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์เนปาล
ความรุนแรงยิ่งจุดชนวนให้ผู้คนโกรธแค้น ประชาชนบุกเผาบ้านพักนายกรัฐมนตรี รัฐสภา รวมถึงสถานที่ราชการและป้อมตำรวจ ตำรวจบางส่วนเลือกที่จะเข้าร่วมกับผู้ชุมนุม
แรงกดดันมหาศาลทำให้นายกรัฐมนตรีโอลี ประกาศลาออกอย่างกะทันหัน พร้อมรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาล ขณะเดียวกัน รัฐบาลรักษาการได้ประกาศยกเลิกการแบนโซเชียลมีเดียทันที
ภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่แพร่ไปทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ดึงดูดความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและนานาชาติที่ออกมาเรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีสังหารหมู่
แม้การลาออกของผู้นำจะถือเป็นชัยชนะก้าวแรก แต่การชุมนุมยังคงดำเนินต่อไป ประชาชนเรียกร้องให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ชื่อที่ถูกจับตามากที่สุดคือ นายบาเลนทรา ชาห์ นายกเทศมนตรีกรุงกาฐมาณฑุ วัย 35 ปี อดีตนักร้องและนักแต่งเพลง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่คนรุ่นใหม่
วิกฤติครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารประเทศ แต่ยังเผยให้เห็นผลกระทบของความพยายามควบคุมสื่อโซเชียลมีเดียของทางการ รวมทั้งพลังทางการเมืองที่ขับเคลื่อนโดยเยาวชนเนปาล ที่กำลังถูกจับตามองจากทั่วโลกว่า จะนำประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพียงใด



20+























