ไทยยื่นหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิดแนวชายแดนให้เลขา UN แล้ว
ไทยยื่นหลักฐานการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชาต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ย้ำความมุ่งมั่นแก้ปัญหาโดยสันติ
KEY
POINTS
- ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติได้ยื่นหลักฐานต่อเลขาธิการ UN กรณีที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามอนุสัญญาออตตาวา
- หลักฐานที่ยื่นประกอบด้วยเอกสารและภาพเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาที่ลักลอบฝังทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจนพิการถาวร
- เลขาธิการ UN รับทราบข้อมูลและให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งเสนอให้หน่วยงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดของ UN (UNMAS) เข้ามาให้การสนับสนุน
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าพบหารือกับนาย António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ เกี่ยวกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ประเด็นสำคัญของการหารือครั้งนี้ คือ การขอรับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา ซึ่งประเทศไทยดำเนินการตามข้อบทที่ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา เอกอัครราชทูตฯ ได้มอบหลักฐานเชิงประจักษ์และเอกสารประกอบ นอกเหนือจากเอกสารดังกล่าว
คณะผู้แทนไทยได้แสดงหลักฐานภาพเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาที่แสดงวิธีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและลักลอบฝังทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเขตแดนไทย
เอกอัครราชทูตฯ แสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้มีจำนวนทหารที่พิการถาวร จำนวน 6 นาย
เลขาธิการสหประชาชาติได้รับทราบหลักฐานที่ไทยนำเสนอและให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างเหมาะสม โดยหน่วยงานด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของสหประชาชาติ (United Nations Mine Action Service: UNMAS) พร้อมให้การสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด อีกทั้งยังชื่นชมการแก้ไขปัญหาอย่างสันติของประเทศไทยผ่านช่องทางทวิภาคีและพหุภาคีอย่างต่อเนื่อง และขอให้ทั้งสองฝ่ายหารืออย่างสร้างสรรค์ต่อไป
ในโอกาสเดียวกันนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งเลขาธิการสหประชาชาติถึงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 อนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย โดยเลขาธิการสหประชาชาติชื่นชมการตัดสินใจของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนความยึดมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชน
ประเทศไทยคงความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาอย่างสันติผ่านกลไกทางการทูต บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และเพื่อสันติภาพและความมั่งคั่งของภูมิภาค


