กัมพูชาประกาศไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากไทย
“ ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ชี้ไทยใช้กลยุทธ์ทางเศรษฐกิจกดดันกัมพูชาอย่างไม่เป็นธรรม ยืนยันพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นในพิธีปิดการประชุมคณะกรรมการกลางของสหพันธ์เยาวชนกัมพูชา (UYFC) ณ จังหวัดเสียมราฐ โดยนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ได้ชี้แจงถึงกลยุทธ์หลัก 3 ประการ ที่รัฐบาลไทยใช้เพื่อกดดันกัมพูชา ได้แก่ การปลุกกระแสชาตินิยม การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร
ฮุน มาเนต กล่าวว่า “รัฐบาลไทยพยายามใช้มาตรการต่างๆ เช่น การตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต รวมถึงน้ำมันและก๊าซ พร้อมกับการปิดพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามกิจกรรมหลอกลวงทางออนไลน์ในพื้นที่ชายแดน แต่แท้จริงแล้วเป็นความพยายามในการบ่อนทำลายชื่อเสียงของกัมพูชาในเวทีโลก”
เขาย้ำว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่มีมูลความจริงและมีแรงจูงใจทางการเมือง โดยระบุว่า “ประเทศไทยเองก็เพิ่งมีการจับกุมขบวนการหลอกลวงในกรุงเทพฯ ไปเมื่อไม่นานมานี้”
การตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ของกัมพูชา
ด้าน ดร.เจย์ เทค นักวิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้สัมภาษณ์กับ Khmer Times สื่อของกัมพูชาว่า ไทยมีการใช้การค้าชายแดน การท่องเที่ยวขาออก และอุปทานสาธารณูปโภค เป็นเครื่องมือต่อรองให้กัมพูชาถอนคดีข้อพิพาทชายแดนออกจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่า กัมพูชาได้ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจำกัดการนำเข้าผัก ผลไม้ น้ำมัน และก๊าซจากประเทศไทย เพื่อลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ
จากสถิติการค้า กัมพูชาส่งออกสินค้าไปไทยมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ไทยส่งออกมายังกัมพูชาสูงถึงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบของกัมพูชาในฐานะ “ผู้บริโภค” ในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
“ในโลกธุรกิจ ผู้บริโภคคือราชา ผู้ขายต้องตอบสนองความต้องการ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแหล่งจัดหาสินค้าได้หลากหลาย” ดร.เจย์ กล่าว
แรงงานกัมพูชาในไทย: อำนาจต่อรองสำคัญ
ดร.เจย์ ยังระบุว่า แรงงานชาวกัมพูชาจำนวนกว่า 2 ล้านคนในประเทศไทย โดยมีสถานะถูกกฎหมาย 1.2 ล้านคน และไม่มีเอกสารอีก 800,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี (ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจของไทย
แรงงานเหล่านี้นอกจากจะมีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีแนวโน้มใช้จ่ายเงินในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้เกิดรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ
ทั้งนี้ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรในกัมพูชา ทำให้รัฐบาลมองว่า หากแรงงานเหล่านี้เดินทางกลับประเทศ ก็สามารถรองรับได้ และเป็นแรงงานที่ตรงตามความต้องการของภาคเศรษฐกิจในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ยังมีแรงงานจำนวนหนึ่งที่ไม่น่าจะเดินทางกลับ เนื่องจากรัฐบาลไทยได้เริ่มใช้มาตรการคุ้มครองแรงงานกัมพูชาเพื่อลดการเลือกปฏิบัติหรือความรุนแรง


