จีนงัดไพ่เด็ด กุมอำนาจ "แร่หายาก" จี้จุดอ่อนการค้าโลก
เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนทะลุ 145% หวังบีบให้ สี จิ้นผิง ยอมเจรจา แต่จีนกลับพลิกเกมด้วย "ไพ่ตาย" ที่โลกยุคใหม่ขาดไม่ได้ นั่นคือ แร่หายาก! จี้จุดอ่อนการค้าโลก
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นโยบายการค้าสุดโต่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นขึ้นภาษีและจำกัดการค้ากับจีนแบบจัดหนัก มีเป้าหมายเดียวคือบีบให้ สี จิ้นผิง ยอมเจรจา เพื่อลดปัญหาขาดดุลการค้าและบูมภาคการผลิตในอเมริกา
แต่เมื่อภาษีนำเข้าสหรัฐฯ พุ่งทะลุ 145% แถมรัฐบาลทรัมป์ยังคุยโวว่ากุมความได้เปรียบ จีนก็พลิกเกมงัดไม้ตาย ด้วยการตัดส่งออกสินค้าที่โลกยุคใหม่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ แร่หายาก
ตามข้อมูลจาก Bloomberg ทันทีที่สินค้าที่มีแร่หายากอย่าง ดิสโพรเซียม และ เทอร์เบียม เริ่มส่งช้าลง จนกระทบไปถึงอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ตั้งแต่รถยนต์ยันการทหาร
สหรัฐฯ และชาติอื่นก็ถึงจุดที่ทนไม่ไหว Ford และ Suzuki ต้องลดกำลังผลิต Elon Musk ก็โอดว่าธุรกิจหุ่นยนต์ของเขาได้รับผลกระทบหนัก
รัฐบาลทั่วโลกต่างเร่งหาซัพพลายเออร์ที่เหลือน้อยนิดนอกแผ่นดินใหญ่ หวังทดแทนแร่หายากได้บ้าง จากสงครามการค้าเล็กๆ เลยกลายเป็นวิกฤตการค้าโลก
ด้วยแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ประกอบกับภาษีที่แพงหูฉี่ ทำให้สหรัฐฯ และจีนยอมพักรบกันที่กรุงเจนีวาเมื่อเดือนที่แล้ว
แม้จะมีการลดภาษีลง และสหรัฐฯ ก็คิดว่าจะได้แม่เหล็กแร่หายากมาใช้ แต่ปักกิ่งยังคงยืนกรานว่าบริษัทต่างๆ ต้องมีใบอนุญาตในการซื้อวัตถุดิบสำคัญเหล่านี้
ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้า และจุดชนวนความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง
สหรัฐฯ จึงกลับมาบุกหนักอีก ด้วยการเพิ่มข้อจำกัดเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ออกแบบชิป ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ไอพ่น และถึงขั้นขู่ยกเลิกวีซ่านักเรียนด้วยซ้ำ
ในที่สุด ทรัมป์ก็ได้ในสิ่งที่เขารอคอย นั่นคือ การได้คุยโทรศัพท์กับ สี จิ้นผิง เพื่อฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง
และเมื่อคืนวันอังคาร คณะเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และจีนก็ประกาศข่าวดีหลังจากการหารือวันที่สองในกรุงลอนดอน แม้ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน แต่ก็แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่าอะไรคือหัวใจของการเจรจา
“เราคาดหวังอย่างยิ่งว่าประเด็นแร่หายากจะได้รับการแก้ไขภายใต้กรอบข้อตกลงนี้” Howard Lutnick รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าว พร้อมเสริมว่ามาตรการตอบโต้ของสหรัฐฯ จะผ่อนคลายลงเมื่อจีนอนุมัติใบอนุญาตส่งออก
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก Lutnick แถลง บริษัทผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ของจีนอย่าง JL Mag Rare-Earth Co. ก็ประกาศว่าได้รับใบอนุญาตส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ แล้ว
หุ้นของบริษัทในตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้นถึง 12% ซึ่งสะท้อนถึงภาพรวมตลาดที่สดใส ดัชนีหุ้นจีนในฮ่องกงปรับตัวขึ้น 1.1% สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ในทางกลับกัน ดัชนี S&P 500 futures กลับร่วงลงถึง 0.4%
แม้สหรัฐฯ จะดูเหมือนแข็งกร้าวแค่ไหน แต่บรรดาผู้บริหารและนักวิเคราะห์ต่างชี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าจีนสามารถใช้ความได้เปรียบในธุรกิจแร่หายากได้อย่างรวดเร็ว
เพื่อเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนจากประเทศต่างๆ ได้ทุกเมื่อที่ความสัมพันธ์ตึงเครียดขึ้น ซึ่งแทบจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต
“แม้สหรัฐฯ ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายริเริ่มฟื้นการเจรจาการค้า แต่จีนอาจกุมความได้เปรียบอย่างเงียบๆ” Hebe Chen นักวิเคราะห์จาก Vantage Markets กล่าว
“จีนใช้อิทธิพลเหนือกว่าในแร่หายากเป็นอาวุธ เพื่อพลิกสถานการณ์การเจรจา” เธอกล่าวเสริม
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากระบบการออกใบอนุญาตใหม่ที่จีนกำหนดขึ้นสำหรับการส่งออกแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ นั้นละเอียดซับซ้อนมาก จนทางการจีนสามารถรู้ได้อย่างละเอียดว่าแร่ทุกกิโลกรัมที่ผลิตขึ้นนั้นไปจบลงที่ไหนและเพื่ออะไร
ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลกับ Bloomberg สถานการณ์ความตึงเครียดครั้งล่าสุด เกิดจากการที่จีนชะลอการอนุมัติผลิตภัณฑ์แร่หายาก
โดยเฉพาะแม่เหล็ก ที่มีส่วนผสมของแร่หายาก 7 ชนิด แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งนอกเหนือไปจากการจำกัดการขายแร่ธาตุบริสุทธิ์อยู่แล้ว
ก่อนที่จะมีการบรรลุข้อตกลงเมื่อวันอังคาร สำนักข่าวซินหัวของจีนได้รายงานว่า การควบคุมการส่งออกแร่หายากไม่ใช่มาตรการตอบโต้ทางการค้าและไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ
ทำไมจีนกุมความได้เปรียบระยะยาว?
กระบวนการอนุญาตส่งออกแร่หายากแบบใหม่ของจีนอาจทำให้เกิดความล่าช้าบ้าง แต่ผลกระทบที่ชัดเจนคือจีนยังคงมีอำนาจต่อรองในตลาดโลกอย่างเหนียวแน่น
แม้ชื่อจะบอกว่า "แร่หายาก" แต่จริง ๆ แล้วแร่เหล่านี้มีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่การจะขุดขึ้นมาให้คุ้มทุนนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมักพบในปริมาณไม่มากพอ
นอกจากนี้ กระบวนการสกัดและแปรรูปแร่หายากยังซับซ้อน ใช้พลังงานสูง และสร้างมลพิษ ที่สำคัญคือประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ยังขาดทั้งเทคโนโลยีและแรงงานที่มีฝีมือในการดำเนินการส่วนนี้
ด้วยเหตุนี้ จีนซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลขับเคลื่อน จึงได้เปรียบอย่างมหาศาลและยาวนานในการเป็นผู้จัดหาโลหะสำคัญของโลก
แร่หายากไม่ได้ใช้แค่ในหลอดไฟ LED หรือเลเซอร์ทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของ "แม่เหล็กถาวร" ขนาดเล็กแต่ทรงพลังที่จำเป็นในเครื่องบินรบ F-35 กังหันลม และแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้ จากบรรดาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายากของจีน แม่เหล็กถาวร (Permanent Magnetic) ซึ่งเป็นแม่เหล็กที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กตลอดไป สร้างมูลค่าให้กับประเทศมหาศาลที่สุด
โดยในปี 2567 จีนส่งออกแม่เหล็กถาวรคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับแร่หายากทั้งหมด และมีมูลค่ามากกว่าแร่หายากในรูปวัตถุดิบถึงห้าเท่า
อนาคตแร่หายากยังไม่แน่นอน
อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแร่หายากไม่ได้จะได้รับผลกระทบเท่ากันทั้งหมด อย่าง Siemens Healthineers AG เองก็เคยใช้วัสดุเหล่านี้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่พวกเขาก็หาทางเลิกพึ่งพาแร่หายากในเครื่องสแกน MRI ได้สำเร็จตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว
ปัจจุบัน Siemens Healthineers หันมาใช้แม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดที่ทำจากทองแดง ไทเทเนียม และไนโอเบียม แทน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวัสดุที่หาได้ง่ายกว่ามาก
ส่วนผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคบางชนิดที่จำเป็นต้องใช้แม่เหล็ก ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
เพราะ Michael Deng นักวิเคราะห์เทคโนโลยีเศรษฐกิจภูมิรัฐศาสตร์จาก Bloomberg Economics ให้ข้อมูลว่าสินค้าเหล่านี้มักจะถูกผลิตและส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากประเทศจีนเลย
แม้สถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะผ่อนคลายลงบ้างหลังการหารือที่ลอนดอนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
แต่ก็ต้องยอมรับว่ามาตรการทางการค้าหลายอย่างที่สหรัฐฯ กำหนดกับจีน ซึ่งบางส่วนมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลไบเดน ก็ยังคงอยู่ไม่ได้ถูกยกเลิกไปทั้งหมด
โดยรวมแล้วดูเหมือนว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศได้กลับสู่จุดที่เคยเป็นเมื่อช่วงต้นปีนี้ ก่อนที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนจะเริ่มใช้มาตรการขึ้นภาษีและตอบโต้กันไปมาอย่างดุเดือด
ซึ่งสถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์และที่ปรึกษาของเขายืนกรานมาหลายเดือนว่าจีนจะไม่สามารถทนทานต่อแรงกดดันจากวอชิงตันได้
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงมักจะซับซ้อนกว่าที่เราเห็นเสมอ แม้สหรัฐฯ จะใช้มาตรการควบคุมการส่งออกชิปไฮเทคไปยังจีนมาหลายปี แต่แผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง
กลับกัน จีนมุ่งมั่นผลักดันเรื่องการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และหาหนทางรับมือกับข้อจำกัดต่างๆ ได้อยู่เสมอ
ภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง จีนได้เดินหน้าพัฒนาและวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), โดรน, เซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึง รถยนต์ไฟฟ้า
มาตรการสกัดกั้นจากวอชิงตันจึงดูเหมือนเป็นเพียง “อุปสรรคเล็กๆ” ที่ทำให้จีนต้องปรับตัว ไม่ใช่ “กำแพง” ที่จะหยุดยั้งการเติบโตทางเทคโนโลยีของจีนได้จริง
แม้ว่าในระยะใกล้จีนยังคงเป็นผู้ครอบงำตลาดแร่หายาก แต่ความได้เปรียบนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป
วิกฤตการณ์ล่าสุดจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนที่จำเป็น เพื่อพัฒนา ห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก ในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก แม้ว่ากระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาอีกเป็นทศวรรษหรือนานกว่านั้นก็ตาม
ดังนั้น ความตึงเครียดและความเจ็บปวดที่แต่ละอุตสาหกรรมกำลังเผชิญอยู่ ทั้งในปัจจุบันและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกหลายเดือนข้างหน้า จะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ในโครงการแร่หายาก


