เปิดบิล ภาษีทรัมป์ ธุรกิจทั่วโลกเจ็บหนัก สูญยอดขายแตะ 1 ล้านล้าน
สงครามการค้าทรัมป์ทิ้งรอยแผลลึก! เปิดยอดขาดทุนสะสมของบริษัทใหญ่ทั่วโลก แตะ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1ล้านล้านบาท สาเหตุหลักจากต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น
นโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ สงครามการค้า ที่เขาเปิดฉากขึ้น
ล่าสุด การวิเคราะห์ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์เผยตัวเลขน่าตกใจว่า บริษัททั่วโลกต้องแบกรับภาระ "ต้นทุนที่สูงขึ้น" และ "ยอดขายที่หายไป"
รวมกันแล้วกว่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1 ล้านล้านบาท
และดูเหมือนว่าตัวเลขนี้จะยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ความ ไม่แน่นอนด้านภาษี ยังคงเป็นดาบที่แขวนอยู่เหนือหัวของเหล่า บริษัทข้ามชาติ
ใครบ้างได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์?
ไม่ว่าจะอยู่ในสหรัฐอเมริกา เอเชีย หรือยุโรป บริษัทชั้นนำ อย่าง Apple, Ford, Porsche และ Sony ต่างก็ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ถ้วนหน้า
หลายรายถึงขั้นต้อง ปรับลดประมาณการผลกำไร หรือแม้แต่ ถอนการคาดการณ์ ไปเลย
เหตุผลหลัก? เพราะ นโยบายการค้าที่ผันผวนของทรัมป์ ทำให้การประเมินต้นทุนล่วงหน้ากลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดจากแถลงการณ์บริษัท รายงานทางการเงิน และบทสัมภาษณ์ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเป็นครั้งแรกว่า
ผลกระทบจากภาษีทรัมป์ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจทั่วโลกนั้นมหาศาลเพียงใด
ตัวเลข 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ แค่ภูเขาน้ำแข็ง
ตัวเลข 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1 ล้านล้านบาท ที่สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยมานี้ มาจากการประมาณการของบริษัท 32 แห่งในดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ, 3 บริษัทจากดัชนี STOXX 600 ของยุโรป และ 21 บริษัทจากดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น
แต่นักเศรษฐศาสตร์กลับมองว่านี่เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์ ศาสตราจารย์จาก Yale School of Management ชี้ว่า ต้นทุนที่แท้จริงของธุรกิจอาจจะสูงกว่าที่เปิดเผยมาหลายเท่าตัว
“คุณอาจจะคูณสองหรือสามเท่าของตัวเลขนี้เข้าไป และเราก็ยังยืนยันว่า...ขนาดของผลกระทบนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงอย่างแน่นอน” ซอนเนนเฟลด์กล่าว พร้อมเสริมว่า
ผลกระทบลูกโซ่ที่ตามมาอาจเลวร้ายยิ่งกว่า ทั้งการลดการใช้จ่าย ของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ไปจนถึงการคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ธุรกิจปรับตัว สู่ตลาดใหม่
แม้ว่าสถานการณ์จะดูเหมือนผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อมีข่าวการพักรบในสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ และทรัมป์เองก็ถอยจากภัยคุกคามภาษีต่อยุโรป
แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า ข้อตกลงทางการค้าขั้นสุดท้าย จะออกมาในรูปแบบใด ล่าสุด ศาลการค้าสหรัฐฯ ก็สั่งระงับมาตรการภาษีของทรัมป์ไปแล้วด้วย
ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วย ความไม่แน่นอนนี้ นักยุทธศาสตร์มองว่าบริษัทต่างๆ จะต้องหันมา เสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน
เพิ่มความพยายามในการผลิตใกล้แหล่งตลาด (near-shoring) และเร่งเจาะตลาดใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ผลักดันต้นทุนการดำเนินงานให้สูงขึ้น
บริษัทเองก็ยังไม่มั่นใจในต้นทุนที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้น รอยเตอร์พบว่ามีบริษัทอย่างน้อย 42 แห่งที่ปรับลดประมาณการผลประกอบการ และ 16 แห่ง ถอนหรือระงับการให้แนวทางไปเลย
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Walmart ที่ปฏิเสธการให้ประมาณการกำไรรายไตรมาสพร้อมกับประกาศ ขึ้นราคา สินค้า ซึ่งก็เรียกเสียงตำหนิจากทรัมป์
ด้าน Volvo Cars ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ก็ถอนการคาดการณ์ผลประกอบการในอีกสองปีข้างหน้าไปแล้ว
ส่วน United Airlines ถึงขั้นให้การคาดการณ์ที่แตกต่างกันสองแบบ โดยบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่จะคาดการณ์สภาพเศรษฐกิจมหภาคในปีนี้
ทรัมป์มองต่าง ภาษีช่วยชาติ
ทรัมป์เคยให้เหตุผลว่า ภาษี จะช่วยลดการขาดดุลการค้าของอเมริกาและกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมายังประเทศ เพื่อนำตำแหน่งงานกลับคืนสู่บ้านเกิด
นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่า ภาษี จะบังคับให้ประเทศอย่างเม็กซิโก หยุดการลักลอบเข้าเมืองและ ยาเสพติด เข้าสู่สหรัฐฯ
“ฝ่ายบริหารยืนกรานมาโดยตลอดว่าสหรัฐฯ…มีอำนาจต่อรองที่จะทำให้คู่ค้าของเราแบกรับภาระภาษีในท้ายที่สุด” คุช เดไซ โฆษกทำเนียบขาวกล่าว
ตัวเลขที่น่าสนใจคือ ในการประชุมผลประกอบการไตรมาสเดือนมกราคมถึงมีนาคม มีบริษัทในดัชนี S&P 500 ถึง 360 แห่ง (72%) ที่กล่าวถึงคำว่า "ภาษี" เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 150 แห่ง (30%) ในไตรมาสก่อนหน้า
ด้านผู้บริหารจาก 219 บริษัทในดัชนี STOXX 600 ก็พูดถึงภาษี เทียบกับ 161 บริษัทในไตรมาสก่อน สำหรับบริษัทในดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น ตัวเลขนี้อยู่ที่ 58 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก 12 แห่งก่อนหน้านี้
“ผมไม่คิดว่าบริษัทต่างๆ จะมองเห็นอนาคตได้อย่างชัดเจนนัก” ริช เบิร์นสไตน์ ซีอีโอของ Richard Bernstein Advisors กล่าว
“เมื่อโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และคุณไม่สามารถให้แนวทางตัวเลขที่ชัดเจนแก่ใครได้ การไม่แจ้งแนวทางเลยจึงปลอดภัยกว่า”
ผลสำรวจจาก LSEG ชี้ว่าวอลล์สตรีทคาดการณ์ กำไรสุทธิ ของบริษัทในดัชนี S&P 500 จะเติบโตเฉลี่ยเพียง 5.1% ต่อไตรมาส ระหว่างเดือนเมษายนถึงธันวาคม เทียบกับอัตราการเติบโต 11.7% เมื่อปีที่แล้ว
อุตสาหกรรมไหนรับผลสงครามการค้าหนักสุด?
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดคือ ผู้ผลิตรถยนต์ สายการบิน และผู้นำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค
เพราะ ค่าธรรมเนียมสำหรับวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างๆ อย่างอะลูมิเนียมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และภาษีจากหลายประเทศทำให้การประกอบรถยนต์มีราคาแพงขึ้นมากจาก ห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน การย้ายการผลิตมายังสหรัฐฯ ก็ยังหมายถึง ต้นทุนค่าแรง ที่เพิ่มขึ้นด้วย
Kimberly Clark ผู้ผลิตกระดาษทิชชู Kleenex ปรับลดประมาณการกำไรประจำปีเมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมระบุว่าจะแบกรับต้นทุนราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้จากผลของภาษี
ที่ดันต้นทุนห่วงโซ่อุปทานให้สูงขึ้น แม้จะประกาศลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ในระยะ 5 ปีเพื่อขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ก็ตาม
บริษัทอื่นๆ อย่าง Apple และ Eli Lilly ก็ประกาศลงทุนในสหรัฐฯ ในปีนี้เช่นกัน
สรุปแล้ว สงครามภาษีของทรัมป์ยังคงส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อ ธุรกิจทั่วโลก แม้ผู้นำจะเปลี่ยนไป แต่รอยแผลที่เกิดขึ้นยังคงอยู่
และความไม่แน่นอน ยังคงเป็นเงาตามหลอกหลอนการตัดสินใจลงทุนและแผนธุรกิจในอนาคต


