ทรัมป์สะดุด! ศาลสั่งเบรกภาษีนำเข้า เหตุขัดรัฐธรรมนูญ
ศาลสหรัฐฯ ตัดสินชัด ภาษีนำเข้าของทรัมป์ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะอำนาจการค้าเป็นของสภา ไม่ใช่ผู้นำประเทศ ด้านทำเนียบขาวเตรียมอุทธรณ์ทันควัน!
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้
โดยให้เหตุผลว่าประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศที่มียอดการส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ มากกว่ายอดซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ
ศาลชี้ว่า รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ มอบอำนาจแต่เพียงผู้เดียวให้รัฐสภาในการควบคุมการค้ากับต่างประเทศ และอำนาจนี้ไม่สามารถถูกลบล้างได้ด้วยอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ
คณะผู้พิพากษาสามคนระบุในคำตัดสินว่า ระบุในคำตัดสินอย่างชัดเจนว่า
"ศาลมิได้พิจารณาว่าการใช้มาตรการภาษีของประธานาธิบดีเป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือมีประสิทธิผลหรือไม่ แต่การใช้อำนาจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ ไม่ใช่เพราะมันไม่เหมาะสมหรือไร้ประสิทธิผล แต่เพราะกฎหมายของรัฐบาลกลางไม่อนุญาตให้กระทำ"
เพียงไม่กี่นาทีหลังคำตัดสิน ทำเนียบขาวได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์ทันที
จุดเริ่มต้นฟ้องร้องมาตรการภาษีทรัมป์
คำตัดสินครั้งนี้มีที่มาจากคดีฟ้องร้องสองคดี:
- องค์กร Liberty Justice Center ซึ่งเป็นองค์กรไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ได้ยื่นฟ้องในนามของธุรกิจขนาดเล็ก 5 แห่งของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษี
- 13 รัฐของสหรัฐอเมริกา ได้รวมตัวกันยื่นฟ้องคดีแยกต่างหาก
ธุรกิจเหล่านี้ ตั้งแต่ผู้นำเข้าไวน์และสุราในนิวยอร์ก ไปจนถึงผู้ผลิตชุดอุปกรณ์การศึกษาและเครื่องดนตรีในเวอร์จิเนีย ต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า
มาตรการภาษีทรัมป์จะ "ทำลายความสามารถในการดำเนินธุรกิจ" ของพวกเขา
ปัจจุบัน ทั้งทำเนียบขาวและทนายความของกลุ่มผู้ฟ้องร้องยังไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ เพิ่มเติม
ทุกฝ่ายจวกมาตรการภาษีทรัมป์
สตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว และหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของทรัมป์ แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเปิดเผย โดยโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียสั้นๆ ว่า
"การรัฐประหารโดยตุลาการกำลังจะควบคุมไม่ได้" ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อคำตัดสินของศาล
ในขณะเดียวกัน อัยการสูงสุดของรัฐออริกอน แดน เรย์ฟิลด์ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นแกนนำในการฟ้องร้องของรัฐต่างๆ
ได้เรียกมาตรการภาษีของทรัมป์ว่า "ผิดกฎหมาย ไม่ระมัดระวัง และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล"
"คำตัดสินนี้เป็นการย้ำเตือนว่ากฎหมายของเรามีความสำคัญ และการตัดสินใจทางการค้าไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจของประธานาธิบดี" นายเรย์ฟิลด์กล่าว
ปัจจุบัน ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีอีกอย่างน้อย 5 คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
ทรัมป์ใช้กฎหมายผิดวัตถุประสงค์
ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างอำนาจในการกำหนดภาษีภายใต้ พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA)
ซึ่งปกติแล้วจะใช้เพื่อจัดการกับภัยคุกคาม "ผิดปกติและร้ายแรง" ในสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ
ในอดีต กฎหมายนี้มักถูกนำมาใช้เพื่อคว่ำบาตรประเทศคู่กรณี หรืออายัดทรัพย์สินของศัตรู แต่ทรัมป์ถือเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ใช้กฎหมายนี้ในการเรียกเก็บภาษีนำเข้า
กระทรวงยุติธรรมโต้แย้งว่าคดีฟ้องร้องควรถูกยกฟ้อง เพราะผู้ฟ้องร้องยังไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากภาษีที่ยังไม่ได้จ่าย
และมีเพียงรัฐสภาเท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน ที่มีอำนาจท้าทายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของประธานาธิบดี
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีนี้ โดยอ้างว่าการขาดดุลการค้าคือ "สถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ"
ซึ่งเป็นเหตุผลในการเรียกเก็บภาษี 10% จากการนำเข้าทั้งหมด และในอัตราที่สูงขึ้นสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้ามากที่สุด โดยเฉพาะจีน
หลังจากนั้นไม่นาน มาตรการภาษีเฉพาะประเทศหลายรายการก็ถูกระงับชั่วคราว และเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม รัฐบาลทรัมป์ยังประกาศลดอัตราภาษีสูงสุดกับจีนลงชั่วคราว
ระหว่างที่กำลังเจรจาข้อตกลงทางการค้าระยะยาว โดยทั้งสองประเทศตกลงจะลดภาษีระหว่างกันอย่างน้อย 90 วัน
ผลกระทบต่อตลาดการเงิน
มาตรการภาษีของทรัมป์ที่มีการปรับเปลี่ยนบ่อยครั้ง ได้สร้างความผันผวนและส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐฯ อย่างเห็นได้ชัด
ทรัมป์กล่าวว่ามาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูศักยภาพการผลิตของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการตัดสินของศาล ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และเงินเยนญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนมุมมองของตลาดต่อคำตัดสินนี้


