มาครง 'บุก'เอเชีย เปิดเกมชิงอำนาจ ท่ามกลางศึกการค้าสหรัฐฯ-จีน
ผ่าเกมภูมิรัฐศาสตร์! มาครงบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลุยดีลหมื่นล้าน หวังดับเครื่องชนสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
เมื่อพูดถึงยุโรป เรามักจะนึกถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือไม่ก็ฟุตบอล..
แต่ตอนนี้ กำลังมีผู้นำคนสำคัญจากยุโรปที่กำลังเปิดศึกชิงพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราอย่างจริงจัง นั่นคือ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส
สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมจู่ๆ มาครงถึงต้องเร่งเครื่องเดินสายเยือนเวียดนาม อินโดนีเซีย และสิงคโปร์พร้อมดีลหลายพันล้านยูโร และนี่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่หรือไม่?
เพราะ "ร้อนใจ" จึงมาหา
ต้องบอกว่าสถานการณ์โลกตอนนี้ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะเรื่อง "สงครามการค้า" ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ซึ่งทำให้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตกที่นั่งลำบาก เหมือนถูกบีบอยู่ตรงกลาง จะหันไปทางไหนก็เจอแต่ความเสี่ยง
- หันไปหาอเมริกา: เจอกำแพงภาษีสูงลิ่ว
- หันไปหาจีน: สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามา แย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศ
สถานการณ์นี้เองที่ทำให้ยุโรปมองเห็น "โอกาส" เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น
เพราะสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ยุโรปสามารถเป็น "หลักประกัน" ที่ช่วยถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองมหาอำนาจได้
อย่างที่นักวิเคราะห์จากมาเลเซียอย่าง ชาห์ริมาน ล็อคแมน กล่าวไว้ว่า "ยุโรปเปรียบเสมือนหลักประกันอันมีค่าในโลกที่แบ่งขั้วมากขึ้น"
เพียงแต่ศักยภาพของยุโรปนั้นมีจำกัด "ทำได้แค่เสริม ไม่สามารถทดแทนสหรัฐอเมริกาได้ทั้งหมด"
สัญญาณเตือนจาก "ทรัมป์"
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า การเดินสายของมาครงครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่ต้องการ "กระจายความเสี่ยง" และหาตลาดใหม่ๆ
หลังจากที่ต้องเผชิญกับนโยบาย "ภาษีนำเข้า" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดูเหมือนจะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง
EU กำลังเร่งเจรจาการค้ากับหลายประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือไทย รวมถึงพยายามรื้อฟื้นการเจรจากับออสเตรเลีย และตั้งเป้าจะสรุปข้อตกลงครั้งสำคัญกับอินเดียภายในสิ้นปีนี้
เดิมที การกระชับสัมพันธ์กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลไบเดนที่สนับสนุนให้ยุโรปเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อดึงเสียงสนับสนุนยูเครนและสร้างพันธมิตร
แต่ตอนนี้ เมื่อ "ความไม่แน่นอน" จากนโยบายของทรัมป์กลับมาอีกครั้ง ยิ่งทำให้ยุโรปต้องเร่งเครื่องมากขึ้นไปอีก
เจนนิเฟอร์ เวลช์ หัวหน้านักวิเคราะห์ Geoeconomics ของ Bloomberg Economics ให้ความเห็นว่า
"วอชิงตันกำลังผลักดันให้ประเทศเหล่านี้รวมกลุ่มกันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นเพราะความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าและการรับประกันความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้พันธมิตรของอเมริกากำลังแสวงหาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก"
ยูเครนก็สำคัญ เอเชียก็ต้องไม่ทิ้ง
ประเด็นสงครามยูเครนยังคงเป็นหัวข้อสำคัญที่มาครงจะยกมาหารือ เพราะเขาเชื่อว่าความขัดแย้งที่รัสเซียก่อขึ้นนั้นส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในเอเชีย
ซึ่งรวมถึงการที่จีนและเกาหลีเหนือให้การสนับสนุนรัสเซียมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นไม่สบายใจ
EU เองก็กำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับ CPTPP (ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้า 12 ประเทศ
การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะหลังจากที่ทรัมป์เคยถอนตัวออกจากความตกลงนี้ไปในปี 2017
เบื้องหลัง เจ้าหน้าที่ EU ยังได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของทรัมป์กับจีนอีกด้วย
ดร. สุภาวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า หลายประเทศในเอเชียกำลังจับตาดูว่า EU จะรับมือกับการเจรจาการค้ากับรัฐบาลทรัมป์อย่างไร เพื่อเป็น "ต้นแบบ" สำหรับการเจรจา
เพราะสถานการณ์ล่าสุดก็ดูไม่สู้ดีนัก เมื่อทรัมป์ขู่จะเก็บภาษี 50% จาก EU โดยเริ่มเดือนมิถุนายน แม้จะมีการขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 9 กรกฎาคมแล้วก็ตาม
บทบาทของยุโรปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ไม่สำคัญ" จริงหรือ?
เกรเกอรี่ โพลิ่ง นักวิเคราะห์จากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายระยะสั้น เนื่องจากส่วนใหญ่พึ่งพาสหรัฐฯ และจีนเป็นคู่ค้าหลัก
โพลิ่งชี้ว่า "ประเทศที่พึ่งพาสหรัฐฯ มากที่สุด กำลังเร่งทำข้อตกลง เพราะประเทศเหล่านั้นจำเป็นต้องทำ"
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าในอดีต บางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองว่ายุโรปมีบทบาทไม่มากนักในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ยุโรปกำลังพยายามแก้ไข
นอกจากนี้ การที่หลายประเทศในเอเชียยังต้องพึ่งพาสหรัฐฯ ในเรื่องความมั่นคง เป็นสิ่งที่ยุโรปยังเติมเต็มได้ไม่มากนัก
ทำให้พวกเขาลังเลที่จะใช้ท่าทีแข็งกร้าวกับรัฐบาลทรัมป์ หรือจะแสดงออกถึงการต่อต้านภาษีของเขาอย่างเปิดเผย
แต่ในมุมของมาครง การเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกถือเป็นเสาหลักของยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของฝรั่งเศส
ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมรบกับญี่ปุ่น มาเลเซีย อินเดีย หรือการขายยุทโธปกรณ์ เพราะฝรั่งเศสเองก็มีดินแดนโพ้นทะเลและพลเมืองฝรั่งเศสกว่า 1.6 ล้านคนในภูมิภาคนี้ จึงมีผลประโยชน์โดยตรงและความผูกพันทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายุโรปจะยินดีกับข้อตกลงทางธุรกิจใหม่ๆ แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันภายใน EU ว่าจะก้าวไปได้ไกลแค่ไหน เมื่อต้องจัดการกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่ใกล้บ้านอย่างสงครามยูเครน
ล็อคแมนกล่าวสรุปว่า "ชาวยุโรปบางครั้งก็ส่งเรือรบไปที่ทะเลจีนใต้ แต่นี่เป็นเพียงสัญลักษณ์เพื่อสนับสนุนกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น ไม่ใช่การป้องปรามที่น่าเชื่อถือ"
ทั้งหมดนี้จึงเป็นภาพรวมที่น่าสนใจว่า ยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส กำลังมองเห็น "โอกาส" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางความผันผวนของโลก
เพียงแต่ความสามารถในการเข้ามาเติมเต็มบทบาทมหาอำนาจหลักนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตากันต่อไป


