จีนไม่สนคำท้วง! ปัดฝุ่นแผน "Made in China" กุมชะตาเทคโนโลยีโลก
จีนไม่สนคำท้วง! ปัดฝุ่นแผน "Made in China" เวอร์ชันอัปเกรด กุมชะตาเทคโนโลยีโลก สวนทางคำขอทรัมป์ วอนปรับสมดุลการค้าโลก
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังปัดฝุ่นแผนยุทธศาสตร์ยกระดับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงอีกครั้ง
นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าจีนยังคงเดินหน้ายึดกุมภาคการผลิตขั้นสูงไว้ในมือ แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ให้ปรับสมดุลและดึงฐานการผลิตกลับอเมริกาก็ตาม
ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลกับ Bloomberg เจ้าหน้าที่จีนกำลังเร่งรัดจัดทำแผนสำหรับ "Made in China 2025" ในเวอร์ชันใหม่
โดยจะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีสำคัญ อาทิ อุปกรณ์ผลิตชิป ตลอดช่วงทศวรรษหน้า
ความน่าสนใจคือ แผนใหม่นี้อาจจะ ไม่ใช้ชื่อเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความขุ่นเคืองและคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาติตะวันตกเหมือนที่ผ่านมา
แผน 5 ปีฉบับใหม่: รักษาสัดส่วนภาคการผลิตใน GDP
ขณะเดียวกัน จีนกำลังเตรียมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี (Five-Year Plan) ฉบับใหม่ ที่มีเป้าหมายในการรักษาสัดส่วนของภาคการผลิตในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ให้อยู่ในระดับคงที่
ทั้งนี้ ยังไม่มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณสำหรับสัดส่วนการบริโภคใน GDP เนื่องจากทางการจีนยังมีความกังวลว่าอาจไม่สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก
แผน 5 ปีนี้คาดว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะในเดือนมีนาคม 2569 และรายละเอียดของแผนยังคงอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
จีนยังยึดมั่นในยุทธศาสตร์การผลิต
แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์จากสหรัฐฯ และยุโรปเกี่ยวกับการควบคุมภาคการผลิตในจีนและการสร้างความไม่สมดุลทางการค้า
แต่การหารือล่าสุดในกรุงปักกิ่งชี้ให้เห็นว่า จีนยังคงยืนกรานในยุทธศาสตร์ของตน โดยเฉพาะการรักษาความมั่นคงของชาติและการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญ
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งเคยย้ำว่า "ต้องเสริมสร้างภาคการผลิตอย่างต่อเนื่อง" เพื่อให้จีนสามารถพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยีและการผลิต
รัฐบาลทรัมป์พยายามทั้งผลักดันให้จีนมี การบริโภคมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้มาตรการ ควบคุมการส่งออกและภาษี เพื่อดำเนินการ "แยกตัวทางยุทธศาสตร์"
โดยมีเป้าหมายให้สหรัฐฯ สามารถพึ่งพาตนเองได้ในด้านต่างๆ เช่น เหล็ก ยา และเซมิคอนดักเตอร์
การที่ปักกิ่งยังคงยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านี้ รวมถึงการคงไว้ซึ่งการควบคุมอุปทานแร่หายาก
สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ และความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะสกัดกั้นจีนจากการได้รับชิปขั้นสูงและเทคโนโลยีอื่นๆ
"Made in China 2025" บทเรียนที่ยังไม่ลืม
รัฐบาลสี จิ้นผิง ได้เปิดตัวแผน "Made in China 2025" ในปี 2558 โดยมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้จีนเป็นผู้นำในทุกด้าน ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องบินพาณิชย์ ไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์และหุ่นยนต์
คณะรัฐมนตรีของจีนได้ตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนประเทศให้เป็นมหาอำนาจการผลิตระดับ "ปานกลาง" ของโลกภายในปี 2578
และเป็น "มหาอำนาจการผลิตที่สำคัญ" ภายในปี 2592 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
งานวิจัยโดย Bloomberg Economics และ Bloomberg Intelligence ชี้ให้เห็นว่า แผน Made in China 2025 โดยรวมแล้ว ประสบความสำเร็จอย่างมาก
โดยใน 13 เทคโนโลยีหลักที่นักวิจัยของ Bloomberg ติดตาม จีนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกใน 5 ด้าน และกำลังไล่ตามอย่างรวดเร็วในอีก 7 ด้านที่เหลือ
การที่ปักกิ่งหันมาเน้นย้ำถึง อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เกิดขึ้นหลังจากหลายปีที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำในการจำกัดความสามารถของจีนในการนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูง
แม้บริษัทจีนจะมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการผลิตชิป โดยใช้อุปกรณ์ต่างประเทศที่ซื้อมาก่อนที่วอชิงตัน และโตเกียวจะกำหนดมาตรการจำกัดการส่งออก
แต่การที่จีนยังไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่ดีที่สุดได้ ยังคงเป็น อุปสรรคสำคัญ ต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่อไป
และรัฐบาลทรัมป์ก็กำลังมองหาช่องทางที่จะกระชับมาตรการให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ทำให้การสร้างอุตสาหกรรมเครื่องมือภายในประเทศมีความสำคัญสูงสุดสำหรับปักกิ่ง
"พลังการผลิตใหม่" ทางรอดของจีน?
โครงการ "Made in China 2025" กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เร่งรัดการส่งเสริม "พลังการผลิตใหม่" ซึ่งรวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่
ขณะเดียวกันก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีหลัก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอนาคต
แม้ว่าผลักดันการบริโภคภายในประเทศจะเป็นเป้าหมายระยะยาว แต่จีนยังคงมองว่าการรักษาภาคการผลิตเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงและการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
จีนปากว่าตาขยิบ? กระตุ้นบริโภค แต่ไม่ทำจริง
ผู้นำจีนเองก็เคยกล่าวถึงความจำเป็นในการ กระตุ้นการบริโภคให้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืด และชดเชยการส่งออกที่คาดว่าจะลดลงจากมาตรการภาษีของทรัมป์
ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปีในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ถึงกับกล่าวว่า "การกระตุ้นการบริโภคอย่างแข็งขัน" เป็นวาระสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลในปีนี้ เพื่อเป็นหลักประกันของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่ในความเป็นจริง นับตั้งแต่ถ้อยแถลงดังกล่าว เจ้าหน้าที่จีนกลับมี มาตรการที่เป็นรูปธรรมใหม่ๆ น้อยมาก ในการกระตุ้นการบริโภค พวกเขายังคงรอดูผลว่าแผนการใช้จ่ายที่มีอยู่จะเพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการเติบโต "ประมาณ 5%" สำหรับปีนี้หรือไม่
ผู้กำหนดนโยบายของจีนยังคงมองว่า ภาคการผลิตเป็นแกนหลัก ของความมั่นคงของชาติและการสร้างงาน
ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จครั้งสำคัญของ DeepSeek ในด้านปัญญาประดิษฐ์เมื่อต้นปีนี้ ได้สร้างความมั่นใจว่ายุทธศาสตร์ของพวกเขากำลังได้ผล
"เราต้องเสริมสร้างภาคการผลิตอย่างต่อเนื่อง ยึดมั่นในหลักการพึ่งพาตนเองและพัฒนาตนเอง และเชี่ยวชาญเทคโนโลยีหลักที่สำคัญ" ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวย้ำเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ระหว่างการเยือนโรงงานผลิตตลับลูกปืนในมณฑลเหอหนาน
ปัจจุบัน การบริโภคของจีนคิดเป็นประมาณ 40% ของ GDP ซึ่งน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วที่มักจะอยู่ที่ 50-70% ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สมดุลอย่างต่อเนื่องและความตึงเครียดทางการค้า การลงทุน
รวมถึงในภาคการผลิต คิดเป็นประมาณ 40% ของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน ซึ่งสูงกว่าสหรัฐฯ ประมาณสองเท่า และเป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก


