นโยบายภาษีทรัมป์พ่นพิษ GDP สหรัฐหดตัว 0.3% ในไตรมาสแรก
เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวในไตรมาสแรก หลังภาษีนำเข้าเพิ่มสูง กระทบการบริโภคและธุรกิจ คาดเฟดคงดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า
เศรษฐกิจของสหรัฐฯ หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากหลายธุรกิจเร่งสั่งสินค้าล่วงหน้าเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าที่รัฐบาลเก็บเพิ่ม ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แม้ยอดการบริโภคของประชาชนจะลดลง แต่รายงานของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจยังไม่ถึงกับเข้าสู่ภาวะถดถอยเต็มรูปแบบ ธุรกิจบางส่วนยังคงลงทุนในอุปกรณ์และระบบขนส่งอย่างต่อเนื่อง
ภาษีนำเข้าเพิ่ม ความไม่แน่นอนเพิ่มตาม
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การใช้จ่ายของภาคประชาชนและภาคธุรกิจในไตรมาสแรกอาจเป็นผลจากการรีบใช้จ่ายก่อนที่ภาษีจะเริ่มมีผลบังคับจริง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นต่อการบริหารเศรษฐกิจของทรัมป์ในช่วงครบ 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง
ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และสายการบินต่างๆ ก็ยกเลิกการคาดการณ์รายได้ของปี 2025 โดยให้เหตุผลว่าภาษีนำเข้าทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและทำให้ผู้คนลังเลที่จะเดินทาง
เศรษฐกิจอาจฟื้นในไตรมาสหน้า แต่เสี่ยงเกิด ‘stagflation’
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจอาจฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่สอง หากการนำเข้าลดลง แต่ก็เตือนว่าปัญหาที่แท้จริงคือความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีที่เปลี่ยนแปลงบ่อยของรัฐบาล หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะ “stagflation” ซึ่งคือช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตช้าแต่เงินเฟ้อสูง
การนำเข้าสูงสุดในรอบหลายปี
รายงานระบุว่า GDP สหรัฐฯ ลดลง 0.3% ในไตรมาสแรก นับเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2022 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง ซึ่งรวมถึงการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่จำนวนมาก และระงับโครงการต่างๆ
ขณะเดียวกัน ตัวเลขการนำเข้าพุ่งขึ้นถึง 41.3% มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทำให้ช่องว่างทางการค้ากว้างขึ้น และส่งผลกระทบต่อ GDP มากถึง 4.83% ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์
เงินเฟ้อและค่าจ้างยังคงผันผวน
รายงานอีกฉบับจากกระทรวงแรงงานเผยว่า ค่าจ้างและเงินเดือนของแรงงานในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 0.8% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เงินเฟ้อที่สูงในช่วงต้นปีเริ่มชะลอตัวในเดือนมีนาคม
นักวิเคราะห์จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมครั้งหน้า เพื่อติดตามผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีและเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด


