posttoday

Climate change ทำพิษ คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมอเมริกาใต้ในฤดูหนาว

11 ตุลาคม 2566

ผลการศึกษาเผยว่า ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อเมริกาใต้ต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนตลอดเดือนช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา ทั้งยังทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นถึง 4.3 องศาเซลเซียส

การศึกษาจากกลุ่ม World Weather Attribution ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ หน่วยงานอุตุนิยมวิทยา และนักวิชาการที่ศึกษาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ระบุว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงเกิน 40 องศาเซลเซียสในช่วงปลายฤดูหนาว ของบราซิล ปารากวัย โบลิเวีย และอาร์เจนตินา จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิของซีกโลกใต้ ซึ่งวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) จะมีส่วนทำให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดบ่อยขึ้นมากกว่าเดิมถึง 100 เท่า

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าคลื่นความร้อนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายในเซาเปาโล ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ยอดผู้เสียชีวิตที่แท้จริงจากคลื่นความร้อนต้องใช้เวลาหลายเดือนในการตรวจสอบโดยวิเคราะห์จากใบมรณะบัตร

ตามข้อมูลจาก Copernicus Climate Change Service ซึ่งเป็นหน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป ชี้ว่า ปีนี้จะกลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการจดบันทึกสถิติ โดยคลื่นความร้อนที่ปกคลุมไปทั่วซีกโลกเหนือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน ถือเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่เท่าให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

Gareth Redmond-King ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศจาก Energy and Climate Intelligence Unit ในสหราชอาณาจักร ให้ความเห็นว่า การที่อเมริกาใต้ต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัดในฤดูหนาว เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก แม้ปรากฏการณ์เอลนิโญจะมีส่วนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลน้อยมากเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ ผลการศึกษายังระบุว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรมอีก 2 องศาเซลเซียส ปรากฎการณ์คลื่นความร้อนจะเกิดขึ้นถี่ขึ้นทุกๆ 5-6 ปี

ข่าวล่าสุด

กัมพูชา ยิงจรวด BM-21 ตกพื้นที่พลเรือน อ.กันทรลักษ์ บาดเจ็บ 4