"จรีพร WHA" ไม่เซอร์ไพรส์ยุบสภา ถึงเวลา ‘รีสตาร์ทประเทศไทย’ เร่งฟื้น ‘เศรษฐกิจ-การศึกษา’ เป็นวาระแห่งชาติ
สัมภาษณ์พิเศษ : ท่ามกลางปีที่ความไม่แน่นอนคลุมทับประเทศ "จรีพร จารุกรสกุล" มองการยุบสภาไม่ใช่จุดจบ แต่คือปุ่มรีสตาร์ทประเทศไทย ปุ่มที่อาจพาเศรษฐกิจฟื้น ผู้คนกลับมามีหวัง และทำให้การศึกษาไทยเริ่มต้นใหม่อย่างจริงจัง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
KEY
POINTS
- สัมภาษณ์พิเศษ : ท่ามกลางปีที่ความไม่แน่นอนคลุมทับประเทศ "จรีพร จารุกรสกุล" มองการยุบสภาไม่ใช่จุดจบ แต่คือปุ่มรีสตาร์ทประเทศไทย
- ปุ่มที่อาจพาเศรษฐกิจฟื้น ผู้คนกลับมามีหวัง
- เร่งแก้การศึกษาเด็กไทยเริ่มต้นใหม่อย่างจริงจัง ก่อนทุกอย่างสายเกินไป
ท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่กดดันประเทศไทยมาหลายปี คำถามใหญ่ไม่ใช่แค่ว่า "จะเลือกตั้งเมื่อไร" แต่คือ "หลังจากนั้น ประเทศจะเดินต่ออย่างไร" เสียงจากภาคธุรกิจจึงเริ่มดังขึ้นและตรงไปตรงมามากขึ้นกว่าที่เคย
โดยเฉพาะจากผู้นำองค์กรขนาดใหญ่ที่อยู่แถวหน้าของการดึงเงินลงทุนจากทั่วโลก บทสนทนากับ "จรีพร จารุกรสกุล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ไม่ได้สะท้อนเพียงมุมมองต่อการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่เท่านั้น
แต่ยังชี้ตรงไปที่โจทย์ใหญ่ของประเทศ ตั้งแต่ เศรษฐกิจ, หนี้ครัวเรือน, ธุรกิจสีเทา ไปจนถึง "การศึกษา" ที่มองว่าเป็นวาระแห่งชาติ หากประเทศไทยหวังจะกลับมายืนอย่างมั่นคงในเวทีโลกอีกครั้ง
สิ้นสุดความไม่แน่นอน!
"จรีพร จารุกรสกุล" เปิดมุมมองอย่างตรงไปตรงมากับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า การตัดสินใจยุบสภาและเตรียมการเลือกตั้งใหม่ในรอบนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศจุดยืนไว้ชัดเจนแล้ว นักลงทุนต่างชาติเข้าใจประเด็นนี้ดี
การยุบสภาจึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยให้ภาวะความไม่แน่นอนที่ค้างคาอยู่ "ได้จบลงสักที" การเลือกตั้งที่เร็วขึ้นถือเป็นผลดี เพราะที่ผ่านมาประเทศอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สิ่งที่ปรารถนาสูงสุด คือ การได้เห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่สามารถอยู่บริหารประเทศได้ยาวนานและสามารถกำหนดนโยบายให้มีความต่อเนื่องได้ ประเทศไทยต้องการความต่อเนื่องนี้ เพราะสภาพประเทศในตอนนี้ "ไม่ไหวแล้ว"
สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือการขอให้ตำแหน่ง "เจ้ากระทรวง หรือ รัฐมนตรี" ถูกมอบให้กับ "คนที่มีความรู้ เก่งในเรื่องนั้นจริงๆ" ซึ่งต้องเป็น "ของจริง" ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือไม่ก็ตาม เพราะประเทศกำลังเผชิญกับปัญหามากมายรอบด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนสูง ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ และปัญหาเพื่อนบ้าน
นโยบายเร่งด่วน: แก้เศรษฐกิจและปราบธุรกิจสีเทา
ปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศคือเรื่อง "เศรษฐกิจ" และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง หากให้เสนอ 1 นโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ สิ่งที่ต้องทำในทันที คือ "เศรษฐกิจ"
ต่อมาที่ทำได้เร็วเช่นกัน และ "ไม่ต้องอาศัยงบประมาณ" คือ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาให้มากที่สุด เพราะนั่นคือการนำ "เงินใหม่" เข้าสู่ประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน การจ้างงาน และการส่งออก ซึ่งช่วยเรื่อง GDP
มาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำควบคู่ คือ การปราบปรามสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทา ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องซีเรียสที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีน
การแสดงความชัดเจนในการปราบปรามจะช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวให้กลับมาได้ ผู้บริหารประเทศควรเป็นผู้ที่มีความชัดเจนและมีความ "ซื่อสัตย์สุจริต"
การศึกษา คือ วาระแห่งชาติ
สำหรับนโยบายระยะยาวที่สำคัญที่สุด คือ "การศึกษา" ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาและต้องมีการวางรากฐานที่มั่นคง หลักสูตรการศึกษาในปัจจุบันไม่สามารถรองรับโลกอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะด้าน AI และเทคโนโลยี เด็กควรต้องเรียนรู้เรื่อง AI และภาษา
สิ่งที่น่ากังวลคือ ในขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กและกลางเริ่มปิดตัวลงเนื่องจากจำนวนเด็กเกิดน้อยลง, โรงเรียนนานาชาติกลับเปิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2569 จะเปิดเพิ่มอีกกว่า 10 แห่ง สิ่งนี้สะท้อนว่า คนเริ่มไม่มั่นใจในระบบการศึกษาของไทย จึงต้องยกระดับเรื่องการศึกษาให้เป็น "วาระแห่งชาติ"
โดยอาจจ้างประเทศที่เชี่ยวชาญมาช่วยวางแผน และสำคัญที่สุดคือการขอ "สัตยาบันร่วม" จากทุกพรรคการเมือง ว่าไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็ต้องทำตามแผนการศึกษานี้อย่างต่อเนื่อง เพราะนี่คือการ "สร้างลูกหลาน" ให้กับประเทศ
เชื่อมั่นประเทศไทยมีศักยภาพ
ประเทศไทยมีศักยภาพที่ดีและมีความสามารถในการแข่งขัน แต่ขาดแค่ผู้นำประเทศที่ต้องมีความชัดเจน
"ตนขอเป็นคนสุดท้ายของประเทศที่จะพูดว่าหมดหวัง เพราะหากพูดว่าหมดหวังก็จะไม่สามารถดึงดูดการลงทุนได้ การที่เราสามารถดึงดูดอุตสาหกรรม High-End อย่าง EV, High-End Electronics และ Data Center เข้ามาได้ เพราะเรามี "ฐานที่แน่น" เรามีศักยภาพ และลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม High-End ที่ต้องการมาตรฐานสูงมาก ซึ่งเรามีความพร้อมที่จะรองรับลูกค้าระดับนั้นได้"
ในปี 2569 ปีม้าไฟ หรือ "ม้านักรบ" หรือ "ม้าอัศวิน" ดังนั้นนิยามธุรกิจของ WHA ในปี 2569 จึงสามารถสร้างการเติบโตได้และคาดว่าจะดีต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งของ 5 กลุ่มธุรกิจที่มีอยู่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
และยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม โดยจะเน้นทำให้ 5 กลุ่มธุรกิจเดิม "แข็งแกร่ง" ก่อน
สถานการณ์ FDI ในปัจจุบันทำให้การแข่งขันในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องแข่งกันเรื่องราคา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามีลูกค้ารายใหญ่เข้ามากจนต้องเร่งผลิตที่ดินให้พอขาย โดยมีการซื้อขนาดใหญ่ขึ้นมาก บางรายซื้อถึง 500-600 ไร่ หรือเกือบ 1,000 ไร่ในการซื้อเดียว.


