น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกาละลายหนักสุดเป็นประวัติการณ์
ศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติสหรัฐฯ (NSIDC) เผย ปริมาณน้ำแข็งในทะเลรอบมหาสมุทรแอนตาร์กติกาละลายจนอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ชี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบหนักต่อพื้นที่ขั้วโลกใต้
ศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติสหรัฐฯ (NSIDC) เผยว่า ปริมาณน้ำแข็งในทะเลรอบมหาสมุทรแอนตาร์กติกา มีปริมาณเหลือเพียง 16.96 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนกันยายน และนับเป็นปริมาณที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีการจดบันทึก
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวจาก NSIDC เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น ซึ่งการวิเคราะห์ฉบับเต็มจะถูกเผยแพร่ช่วงเดือนหน้า
ขณะที่นักวิจัยเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลร้ายแรงต่อสัตว์ที่ต้องใช้ชีวิตบนธารน้ำแข็ง เช่น นกเพนกวิน ที่ต้องสืบพันธุ์และเลี้ยงลูกๆของมันบนธารนำแข็ง
นอกจากนี้พื้นผิวของน้ำแข็งในทะเลที่มีสีขาว ยังมีหน้าที่ช่วยสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์กลับไปยังชั้นบรรยากาศ ซึ่งช่วยให้อุณหภูมิโลกเย็นลง
หากน้ำแข็งในทะเลละลายในปริมาณมาก พื้นที่สีดำในมหาสมุทรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการดูดซับแสงอาทิตย์มากขึ้น โดยพลังงานความร้อนที่ดูดซับไว้จะส่งผลกระทบต่อไปยังอุณหภูมิน้ำทะเลทั่วโลก
สำหรับขั้วโลกใต้ โดยทั่วไปน้ำแข็งในทะเลจะอยู่ในระดับสูงสุดช่วงเดือนกันยายน ก่อนจะค่อยๆละลายแตะระดับต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทางฝั่งอาร์กติก ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน โดยปรอมาณน้ำแข็งในทะเลเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว จากอุณหภูมิในขั้วโลกเหนือที่อุ่นขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 4 เท่า
ทั้งนี้ บทความวิชาการที่ตีพิมพ์เมื่อต้นเดือนนี้ในวารสาร Communications Earth and Environment ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ปริมาณน้ำแข็งในทะเลละลายเร็วกว่าปกติ
ขณะที่เคยมีผลการศึกษาชี้ว่า อุณหภูมิในมหาสมุทรที่อุ่นขึ้น ส่วนใหญ่แล้วมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นหลัก และมีส่วนทำให้ระดับน้ำแข็งในทะเลลดลงนับตั้งแต่ปี 2016


