posttoday

คอไวน์สะอื้น! ฝรั่งเศสกำจัดไวน์ส่วนเกินทิ้ง 80 ล้านแกลลอน

30 สิงหาคม 2566

รัฐบาลฝรั่งเศสจะจ่ายเงินให้ผู้ผลิตไวน์กว่า 216 ล้านดอลลาร์เพื่อทำลายไวน์ส่วนเกินราว 80 ล้านแกลลอนที่พวกเขาไม่สามารถขายได้

ผู้ผลิตไวน์ฝรั่งเศสได้รับการช่วยเหลือหลังต้องเผชิญกับปัญหาจากหลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็น การผลิตที่มากเกินไป อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น และพฤติกรรมการดื่มที่เปลี่ยนแปลงไปในหมู่ชาวฝรั่งเศส

นอกจากนี้ ผลพวงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังกระทบต่อการขนส่งปุ๋ยและขวดสำหรับบรรจุไวน์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังส่งผลกระทบต่อผลผลิตเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Marc Fesneau รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของฝรั่งเศสระบุว่า รัฐบาลกำลังจะจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เกษตรกรและผู้ผลิตไวน์เพื่อทำลายไวน์ส่วนเกิน เนื่องจากหากพวกเขาต้องลดราคาไวน์ลงก็ต้องขาดทุนและกระทบกับรายได้

เช่น สถานการณ์ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของบอร์กโดซ์ ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องไร่องุ่น เกษตรกรต้องเลื่อนฤดูเก็บเกี่ยวองุ่นออกไปเนื่องจากเกิดภัยแล้งอย่างหนัก จากเดิมที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงกลางเดือนกันยายน ไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม

โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสเสนอเงินชดเชยแก่ผู้ปลูกไวน์ในเมืองบอร์กโดซ์ หากพวกเขาปรับเปลี่ยนประโยชน์จากการใช้ที่ดิน และถางต้นองุ่นออกไป

เงินจากรัฐบาลจะช่วยให้เกษตรกรสามารถกลั่นแอลกอฮอล์จากไวน์ส่วนเกินให้หลายเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ได้ ซึ่งสามารถจำหน่ายต่อให้กับผู้ผลิตเครื่องสำอาง น้ำหอม และผู้ผลิตอุปกรณ์ทำความสะอาด

ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ยอดขายไวน์แดงในฝรั่งเศสลดลง 32% ซึ่งคนหนุ่มสาวนิยมหันมาบริโภคเครื่องดื่มทางเลือก เช่น เบียร์และโรเซ่แทน หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ นอกจากนี้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนายังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตไวน์ ทำให้ต้องดิ้นรนมากกว่าเดิม เนื่องจากร้านอาหารต่างๆถูกสั่งปิด และงานแสดงสินค้าถูกสั่งงด

อุตสาหกรรมไวน์ต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เช่นเดียวกับทางฝั่งสหรัฐฯ ที่พฤติกรรมการดื่มของคนรุ่นใหม่ปรับเปลี่ยนไป จนทำให้เกิดภาวะไวน์ล้นตลาด

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Silicon Valley Bank ได้เผยแพร่ผลการศึกษาในหัวข้อ “สถานะของอุตสาหกรรมไวน์ในสหรัฐอเมริกา” โดยพบว่าชาวอเมริกันที่มีอายุเกิน 60 ปีเป็นผู้บริโภคเพียงกลุ่มเดียวที่ดื่มไวน์มากกว่าเดิม เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ กลุ่มนักดื่มอายุน้อยยังใช้จ่ายไปกับไวน์น้อยลงกว่าเดิม

ทั้งนี้ ผลการสำรวจยังชี้ว่า 35% ของผู้ที่มีอายุระหว่าง 21 ถึง 29 ปีในสหรัฐอเมริกาดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่ไม่ดื่มไวน์