ผลงานของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมกำลังกดดันตลาดหุ้นสหรัฐ
ผลงานที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอาจเป็นปัจจัยหลักให้นักลงทุนทบทวนสถานการณ์ของรัฐบาลที่หลายคนคาดหวังไว้
หลังพรรคเดโมแครตยึดครองเสียงข้างมากควบคุมวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาไว้ได้ ดับความหวังของ "'คลื่นสีแดง" ที่พรรครีพับลิกันคาดหวัง
พรรครีพับลิกันยังคงอยู่ใกล้การยึดครองเสียงข้างมากในการควบคุมสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังคงนับคะแนนเสียงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถประกาศผลได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หลังจากการลงคะแนนเสียงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่ารัฐบาลจะมีการคานอำนาจกันมากขึ้น โดยพรรครีพับลิกันจะสามารถควบคุม วุฒิสภา หรือรวมทั้งสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่พรรคเดโมแครตของ โจ ไบเดน ยังคงอยู่ในทำเนียบขาว
แม้ชัยชนะของพรรคเดโมแครตในทั้สองสภา จะยังไมน่าจะเกิดขึ้นในขณะนี้ แต่ผลการเลือกตั้งดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของความเป็นไปได้ อาจก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายและการออกกฎหมายที่นักลงทุนจำนวนมากได้คาดการณ์ไว้
ควินซี่ ครอสบี้ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลกของแอลพีแอล ไฟแนนเชียล เชื่อว่าอำนาจที่เพิ่มขึ้นในสภาคองเกรสของพรรคเดโมแครต อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการคลังและการเงินซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐชะลอความพยายามในการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
ผลการเลือกตั้งการแข่งขันในสภาหลายพื้นที่ เมื่อวันอาทิตย์พรรครีพับลิกันได้รับเลือก 211 ที่นั่ง และพรรคเดโมแครต 205 ที่นั่ง โดยพรรคใดที่ได้ 218 ที่นั่งจะเป็นผู้ควบคุมเสียงข้างมาก
การใช้จ่ายภาครัฐเป็นปัจจัยทีน่ากังวลสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่าอาจกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อและอาจทำให้เฟดต้องเร่งดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นตามตลาด ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่น้อยกว่าที่คาดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกระตุ้นความหวังของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้หุ้นและพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีแนวโน้มที่จะมองการแบ่งคะแนนเสียงของพรรคการเมืองเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งก็เพราะนักลงทุนบางคนเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญๆ จะทำได้ยากขึ้น รัฐบาลที่เสียงสนับสนุนในสภาน้อยลง อาจขัดขวางไม่ให้พรรคเดโมแครตผลักดันงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงการใช้จ่าย 369 พันล้านดอลลาร์ในนโยบายด้านภูมิอากาศและพลังงาน และการประกาศลดภาษีสำหรับบริษัทน้ำมันและก๊าซ
ตามข้อมูลตั้งแต่ปี 1932 ที่วิเคราะห์โดย RBC Capital Markets ระบุว่า ในอดีตหุ้นทำได้ดีกว่าภายใต้รัฐบาลที่แตกแยก(มีเสียงสนับสนุนในสภาน้อยกว่า) หากพรรคเดโมแครตอยู่ในทำเนียบขาว โดยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ S&P 500 อยู่ที่ 14% ในสภาคองเกรสที่แตกแยกภายใต้ประธานาธิบดีของเดโมแครต ซึ่งเปรียบเทียบกับ 10% เมื่อพรรคเดโมแครตควบคุมทั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและสภาคองเกรส


