posttoday

สวีเดนเป็นกลางมาได้นับร้อยปี แต่จะเลิกเป็นเพราะรัสเซีย

22 เมษายน 2565

การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้สวีเดนซึ่งเป็นกลางมากว่า 200 ปีเปลี่ยนท่าทีมาพิจารณาว่าจะเป็นสมาชิกนาโตหรือไม่

1.ในช่วงศตวรรษที่ 17 และต้นศตวรรษที่ 18 สวีเดนเป็นมหาอำนาจและมักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามรวมทั้งการล่าอาณานิคมหลายครั้ง โดยเฉพาะกับรัสเซีย แต่หลังจากสงทหารเข้าไปร่วมรบในสงครามนโปเลียนในปี 1813-1814 จนกระทั่งมีการลงนามในสนธิสัญญามอสเพื่อยุติสงครามกับนอร์เวย์เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 1814 นับตั้งแต่นั้นมาสวีเดนก็ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามอีกเลย (ยกเว้นเพื่อการรักษาสันติภาพ)

2.เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น สวีเดนยังรักษาสถานะความเป็นกลางไว้ได้ แม้บรรยากาศขณะนั้นชนชั้นสูงและคนในแวดวงการเมืองของสวีเดนจะเอนเอียงไปทางเยอรมนีก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ทางการค้าและความสัมพันธ์ส่วนตัวกับอังกฤษและฝรั่งเศสก็เข้มข้นไม่แพ้กัน สวีเดนจึงตัดสินใจไม่ได้เข้าร่วมกับฝั่งเยอรมนี และยังคงค้าขายกับทั้งสองฝั่งต่อไป

3.ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นช่วงที่นโยบายความเป็นกลางของสวีเดนถูกทดสอบอย่างหนักในหลายโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่มาจากนาซีเยอรมัน สวีเดนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่เป็นกลางในยุโรปเหนือ อาทิ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และประเทศบอลติก ซึ่งในกลุ่มนี้มีเพียงสวีเดนประเทศเดียวที่ไม่ถูกโจมตีในสงครามโลกครั้งที่ 2

4.แม้ว่าสวีเดนจะไม่เลือกข้างในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลับถูกนานาชาติวิจารณ์หนักและเกิดคำถามถึงความเป็นกลาง เพราะสวีเดนยอมให้นาซีใช้รางรถไฟเดินทางไปมาระหว่างเยอรมนีและฟินแลนด์เพื่อเข้าไปรุกรานนอร์เวย์ ทว่านักประวัติศาสตร์บางคนมองว่า สวีเดนไม่ได้เลือกเยอรมนี แต่เลือกแสดงจุดยืนที่ไม่ขัดแย้งกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

5.สวีเดนยังคงดำเนินนโยบายประเทศเป็นกลางหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าจะมีความร่วมมือกับตะวันตกอย่างเหนียวแน่นด้วย โดยในช่วงต้นของสงครามเย็น สวีเดนยังรักษาความเป็นกลางไว้แม้ว่าบรรดาผู้นำจะเข้าใจดีว่าความเป็นกลางอาจล้มเหลวในสงครามครั้งที่ 3 นี้ เป้าหมายของนโยบายนี้คือ หลีกเลี่ยงความรุนแรงที่จะนำมาสู่สงครามนิวเคลียร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ

6.ช่วงแรกๆ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สวีเดนดำเนินโครงการอาวุธนิวเคลียร์เชิงรุกอย่างเงียบๆ ด้วยการผลิตพลูโตเนียม จนกระทั่งถูกยกเลิกในทศวรรษ 1960 เพราะค่าใช้จ่ายสูง

7.ต่อหน้าสาธารณะ สวีเดนรักษาความเป็นกลางไว้ได้อย่างดี แต่ในทางที่ไม่เป็นทางการนั้นก็ยังรักษาความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นอย่างไม่เป็นทางการกับสหรัฐควบคู่ไปด้วย อาทิ การร่วมมือด้านข่าวกรองกับสหรัฐ หนังสือเรื่อง The Swedish Kings of Cyberwar ของ ฮิวจ์ อีกิน ระบุว่า “แม้ว่าจะเป็นกลางอย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สวีเดนได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับทั้งนาโต และหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 และต้นทศวรรษ 1950 และมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากในการปฏิบัติการสอดแนมในสงครามเย็น”

8.ช่วงต้นทศวรรษ 1960 เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ของสหรัฐที่ติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางชั้น Polaris A-1 เข้ามาประจำการนอกชายฝั่งตะวันตกของสวีเดน ซึ่งเป็นจุดที่สหรัฐสามารถยิงตอบโต้รัสเซียได้ โดยเรือดำน้ำต้องอยู่ใกล้ชายฝั่งสวีเดนให้มากที่สุดเพื่อให้โจมตีถูกเป้าหมายที่ต้องการ

9.จากเหตุการณ์ด้านบนทำให้สหรัฐต้องให้การรับรองความปลอดภัยทางทหารแก่สวีเดน โดยสหรัฐสัญญาว่าจะจัดหากำลังทหารเพื่อช่วยเหลือสวีเดนในกรณีที่โซเวียตรุกราน ข้อตกลงนี้ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนชาวสวีเดนจนกระทั่งปี 1994 เมื่อคณะกรรมการวิจัยของสวีเดนพบหลักฐานยืนยัน จากความร่วมมือทางทหารนี้ สหรัฐได้ให้ความช่วยเหลืออย่างมากในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ Saab 37 Viggen ของสวีเดน

10.หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลงและการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สวีเดนยกเลิกนโยบายความเป็นกลางทางทหาร แต่ยังคงวางตัวเป็นกลางและเป็นประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ต่อมาในปี 1995 สวีเดนเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และร่วมมืออย่างลึกซึ้งกับนาโต ซึ่งถือว่าเป็นการยุติความเป็นกลางในทางหลักการ

11.นับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 สวีเดนเริ่มเข้าร่วมภารกิจระหว่างประเทศมากขึ้น อาทิ ในบอสเนีย อัฟกานิสถาน ปี 2009 สวีเดนเข้าร่วมสนธิสัญญาป้องกันตัวเองกับสหภาพยุโรปและประเทศนอร์ดิกอื่นๆ นับเป็นการสิ้นสุดสถานะความเป็นกลางทางการทหารอย่างเป็นทางการที่ยาวนานเกือบ 200 ปี

12.บันทึกลับทางการทูตของสหรัฐที่หลุดออกมาเมื่อปี 2010 ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐบรรยายถึง “นโยบายความมั่นคงอย่างเป็นทางการ” ของสวีเดนไว้ว่า “ไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารในยามสงบ และเป็นกลางในยามสงคราม” แต่ถึงอย่างนั้นสวีเดนก็มีส่วนร่วมในนาโตและกลุ่มความร่วมมือด้านกองทัพของสหภาพยุโรป รวมทั้งมีส่วนร่วมในองค์กรระหว่างประเทศ โดยตั้งแต่เดือน มี.ค.-ต.ค. 2011 สวีเดนเข้าร่วมกองกำลังระหว่างประเทศที่นำโดยนาโตในสงครามลิเบีย

13.การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้สวีเดนเปลี่ยนท่าทีเดิมที่จะไม่จัดหาอาวุธให้ประเทศที่กำลังทำสงครามด้วยการส่งปืนไรเฟิลและอาวุธต่อต้านรถถังไปยังกรุงเคียฟ นับเป็นครั้งแรกที่สวีเดนให้ความช่วยเหลือทางการทหารนับตั้งแต่ปี 1939 เมื่อครั้งที่ช่วยฟินแลนด์รบกับสหภาพโซเวียต

14.เช่นเดียวกับการเปลี่ยนท่าทีมาพิจารณาการเป็นสมาชิกนาโตของรัฐบาล ผลการสำรวจความคิดเห็นชาวสวีเดนล่าสุดโดยสำนักโพลล์ Demoskop ร่วมกับหนังสือพิมพ์ Aftonbladet ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมาพบว่า ชาวสวีเดน 57% เห็นด้วยกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพิ่มขึ้นจาก 51% ในเดือน มี.ค. ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยลดลงเหลือ 21% จาก 24% กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจลดลงเหลือ 22% จาก 25% โดยผลการสำรวจเมื่อเดือนที่แล้วถือเป็นครั้งแรกที่ส่วนสวีเดนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมนาโต

ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

Photo - REUTERS/Dado Ruvic/Illustration

 

ข่าวล่าสุด

SME D Bank ขานรับมติ กนง. ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15%  มีผล 1 ม.ค.69