posttoday

หายนะการบินที่ยังเป็นปริศนา การตกที่ไร้เงื่อนงำจนถึงเรื่องอาถรรพ์

22 มีนาคม 2565

ย้อนเหตุการณ์ 'เที่ยวบินมรณะ' ที่ยังคงเป็นปริศนา บางลำสูญหายไร้ร่องรอย

ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของเหตุเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของสายการบินไชน่า อีสเทิร์น เที่ยวบิน MU5735 ที่ตกในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการบินหลายคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตกที่ไม่ปกติของเครื่องบินลำดังกล่าว

ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์เครื่องบินตกหลายครั้งที่ยังคงเป็นปริศนาซึ่งหาคำตอบไม่ได้ ขณะที่เครื่องบินบางลำก็สูญหายไปพร้อมกับผู้โดยสารบนเครื่องอย่างไร้ร่องรอย

MH370 มาเลเซียแอร์ไลน์

โบอิ้ง 777-200 ER เที่ยวบิน MH370 เที่ยวบินโดยสารระหว่างประเทศของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ สูญหายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2014 พร้อมผู้โดยสาร 227 คน และลูกเรือ 12 คน ระหว่างบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน

เครื่องบินลำดังกล่าวขาดการติดต่อไม่ถึงชั่วโมงหลังนำเครื่องขึ้น และหายไปจากจอเรดาร์ของผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ ปริศนาดังกล่าวยังคงไม่สามารถหาคำตอบได้จวบจนปัจจุบัน ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเที่ยวบิน MH370

ในปี 2017 รัฐบาลมาเลเซีย จีน และออสเตรเลียตัดสินใจร่วมกันที่จะหยุดภารกิจการค้นหาเที่ยวบินดังกล่าวทั้งหมด หลังความคืบหน้าตลอด 3 ปี มีเพียงน้อยนิด ท่ามกลางความผิดหวังของบรรดาญาติผู้สูญหาย บ้างก็กล่าวหาว่ารัฐบาลมาเลเซียกำลังซ่อนข้อมูลบางอย่างไว้

โดยทางการสหรัฐสอบสวนความเป็นไปได้ที่ว่าการก่อการร้ายเป็นเหตุให้เครื่องสูญหาย ขณะที่มีสารพัดทฤษฎีเกี่ยวกับการสูญหายของเที่ยวบิน MH370 ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายสวมรอยเป็นผู้โดยสารลึกลับ ถูกสหรัฐยิงตก ไซเบอร์ไฮแจค หรือสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเอเชีย

หายนะการบินที่ยังเป็นปริศนา การตกที่ไร้เงื่อนงำจนถึงเรื่องอาถรรพ์

SJ182 ศรีวิชัยแอร์

วันที่ 9 ม.ค. 2021 เที่ยวบินโดยสารภายในประเทศของศรีวิชัยแอร์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา จาการ์ตา ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติซูปาเดียว ปนตียานัก สูญหายไปจากเรดาร์หลังออกตัวจากท่าอากาศยานได้เพียง 4 นาที

ก่อนที่จะพบว่าเครื่องบินลำดังกล่าวที่ถูกใช้งานมานาน 26 ปี ประสบเหตุตกลงในทะเล ใกล้กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศ

กล่องดำถูกเก็บกู้ขึ้นมาได้ในวันที่ 12 ม.ค. ทีมค้นหาพบเศษซากเครื่องบิน ของใช้ เสื้อผ้า และศพ แต่ไม่พบผู้รอดชีวิต โดยในวันที่ 21 ม.ค. ได้มีการประกาศยุติการค้นหาผู้รอดชีวิตและการกู้ภัย และถือว่าผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 62 คนบนเครื่องเสียชีวิต

เดือนต่อมาเจ้าหน้าที่เผยผลการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าคันเร่งของเครื่องบินมีปัญหาและได้รับการซ่อมแซมมาหลายครั้งก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ แต่สาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด

MS990 อียิปต์แอร์

เครื่องบินโบอิ้ง 767-300ER เที่ยวบิน 990 ของสายการบินอียิปต์แอร์ ซึ่งบินจากท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส ไปยังท่าอากาศสยานนานาชาติไคโร เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 1999 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 217 คนบนเครื่อง เมื่อเครื่องบินตกลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก

จากการสอบสวนของ FBI และคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐเชื่อว่าเหตุดังกล่าวเป็นการกระทำโดยเจตนาของกามิล อัล-บาตูตี ผู้ช่วยนักบิน โดยเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินพบว่ากัปตันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ไม่นานก่อนที่จะได้ยินเสียงพึมพำของกามิลว่า "ฉันเชื่อในพระเจ้า" หลังจากนั้นระบบออโต้ไพลอตก็ถูกปิด

"ฉันเชื่อในพระเจ้า" กามิลพูดซ้ำๆ หลายครั้ง ขณะที่เครื่องบินลดระดับลงอย่างรวดเร็วและตกลงสู่มหาสมุทรในที่สุด หลังจากนั้นมีรายงานว่ากามิลถูกผู้บริหารสายการบินที่โดยสารไปกับเครื่องบินลำนั้นด้วย ตำหนิและกล่าวว่า "นี่จะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของคุณ" โดยกามิลสวนกลับไปว่า "มันจะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของคุณเหมือนกัน"

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อียิปต์ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างนี้ โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากความผิดพลาดของระบบของเครื่องบิน

หายนะการบินที่ยังเป็นปริศนา การตกที่ไร้เงื่อนงำจนถึงเรื่องอาถรรพ์

Star Dust บริติช เซาท์ อเมริกัน แอร์เวย์

ในปี 1947 เครื่องบินโดยสาร Avro 691 Lancastrian 3 เที่ยวบิน CS59 หรือที่เรียกว่า Star Dust ของสายการบินบริติช เซาท์ อเมริกัน แอร์เวย์ เดินทางจากอาร์เจนตินา มุ่งหน้าไปยังชิลี พร้อมผู้โดยสาร 6 คน และลูกเรือ 5 คนบนเครื่อง แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมาย ช่วงเวลา 4 นาทีก่อนถึงกำหนดลงจอด เครื่องบินหายไปอย่างลึกลับบริเวณเทือกเขาแอนดีส

"STENDEC" คือข้อความสุดท้ายที่ได้รับจากเที่ยวบินดังกล่าว ซ้ำสองครั้ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่ารหัสมอร์สนี้หมายถึงอะไรกันแน่ ท่ามกลางทฤษฎีสมคบคิดมากมายที่เกิดขึ้นหลังการหายไปของ Star Dust

ทฤษฎีชี้ให้เห็นว่าลูกเรืออาจป้อนข้อความผิดพลาดจากคำว่า descent ซึ่งน่าจะสมเหตุสมผลสำหรับเครื่องบินที่เตรียมจะลงจอด โดยขณะนั้นเครื่องบินอยู่ที่ระดับความสูง 24,000 ฟุต ลูกเรืออาจเกิดภาวะขาดออกซิเจนทำให้เกิดความสับสนและไม่มีสติ อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ถูกแย้งว่าการส่งข้อความผิดพลาดซ้ำสองครั้งไม่น่าจะเป็นไปได้

อีกทฤษฎีหนึ่งมองว่าอาจเป็นอักษรย่อของข้อความบางอย่าง เช่น Santiago tower, emergency, now descending, entering cloud หรือ Stardust tank empty, no diesel, expected crash แต่ก็ถูกแย้งว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ น่าจะส่งข้อความ "SOS" ที่เป็นที่เข้าใจกันมากกว่า

บ้างสงสัยว่ามีการลอบสังหารผู้ส่งสารของกษัตริย์จอร์จที่ 6 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โดยสารบนเครื่องบิน เนื่องจากเขาถือเอกสารลับบางอย่างที่อาจคุกคามความมั่นคงของอเมริกาใต้ บ้างก็ว่าผู้โดยสารบางคนเป็นพวกนาซีที่กำลังหลบหนี

ภายหลังการหายไปของเครื่องบินเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการค้นหาซากเครื่องบินและผู้โดยสารบนพื้นที่ที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย กว่าครึ่งศตวรรษต่อมา ในปี 1998 นักปีนเขาชาวอาร์เจนติน่าสองคนกำลังขึ้นไปบนภูเขาทูปุงกาโตแห่งเทือกเขาแอนดีส พวกเขาเจอซากปรักหักพังของเครื่องยนต์เครื่องบิน ชิ้นส่วนเครื่องบิน และเศษเสื้อผ้า

ในปี 2000 เจ้าหน้าที่อาร์เจนตินาสำรวจสถานที่เกิดเหตุเพิ่มเติม พบซากใบพัดและล้อของเครื่องบิน ตลอดจนซากศพมนุษย์ด้วย และในปี 2002 ยืนยันผลการตรวจ DNA ว่าร่างที่พบมาจาก Star Dust

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจากตำแน่งที่พบซากชิ้นส่วนเครื่องบินเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การชนกันกลางอากาศ และเครื่องบินไม่ได้พยายามลงจอดในขณะนั้น เนื่องจากล้อของเครื่องบินยังคงอยู่ในช่องเก็บล้อ อาจเป็นไปได้ในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมีพายุหิมะ เมฆปกคลุมทำให้ทัศนวิสัยต่ำ มองไม่เห็นภูเขาทูปุงกาโตที่ถูกปกคลุมด้วยก้อนเมฆทำให้พุ่งชนภูเขา

ส่วนคำถามที่ว่าทำไม Star Dust ถูกซ่อนไว้นานหลายปี มีความเป็นไปได้ที่มันอาจตกสู่ธารน้ำแข็งด้านข้างภูเขา ส่งผลให้เกิดหิมะถล่มซึ่งสามารถฝังเครื่องบินได้ภายในไม่กี่นาที ก่อนที่น้ำแข็งจะเริ่มละลายทำให้พบเศษซากเครื่องบิน

หายนะการบินที่ยังเป็นปริศนา การตกที่ไร้เงื่อนงำจนถึงเรื่องอาถรรพ์

อาถรรพ์เที่ยวบิน 191

หลายครั้งที่อุบัติเหตุของหลากหลายสายการบินเกิดขึ้นกับเที่ยวบินที่ 191 โดยหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดคือเที่ยวบินของสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ เมื่อปี 1979 เมื่อเครื่องยนต์ด้านซ้ายหลุดออก ทำให้สูญเสียการควบคุมหลังออกจากสนามบินได้เพียงไม่กี่นาที คร่าชีวิตผู้โดยสาร 258 คน ลูกเรือ 13 คน บนเครื่องบิน ตลอดจนอีก 2 คนที่อยู่บนพื้นดินด้วย นับเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ก่อนหน้านั้นในปี 1967 เครื่องบิน X-15 เที่ยวบิน 191 โดยนักบินไมเคิล เจ. อดัมส์ ทำการทดลองบินแต่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมเมื่อเครื่องบินพังไม่กี่นาทีหลังจากเทคออฟเนื่องจากเหตุขัดข้องทางเทคนิค และในปี 2012 เที่ยวบิน 191 ของสายการบินเจ็ตบลู แอร์เวย์ กัปตันเกิดภาวะป่วยทางจิตกะทันหัน ทำให้ไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้ แต่ผู้โดยสารบนเครื่องบินแก้สถานการณ์ไว้ได้ทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิต

แม้ว่าอาจไม่เกี่ยวกับตัวเลขอาถรรพ์แต่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ อย่างไรก็ตามหลายสายการบินเลือกที่จะไม่ใช้หมายเลขเที่ยวบิน 191

ภาพ - cnsphoto via REUTERS

 

ข่าวล่าสุด

คลัง ยันยุบสภาฯไม่สะดุดเศรษฐกิจ ชี้กระทบปี 69 วงจำกัด คาด GDP โต 2%