posttoday

รถไฟความเร็วสูงจีนอาจไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีชายบ้าบิ่นชื่อหลิวจื้อจวิน

16 ธันวาคม 2564

เรื่องราวของ "หลิวจื้อจวิน" หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวที่สุดคนหนึ่ง แต่ก็ถูกมองว่ามีคุณูปการมากที่สุดคนหนึ่งของประวัติศาสตร์การรถไฟจีน

เมื่อครั้งที่เติ้งเสี่ยวผิงยังเป็นรองนายกรัฐมนตรีจีน เขาเป็นผู้นำระดับสูงคนแรกของจีนที่เยือนญี่ปุ่นในปี 1978 การเยือนคราวนั้นเติ้งเสี่ยวผิงได้มีโอกาสนั่ง "รถไฟชิงกันเซ็ง" ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลกขณะนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของญี่ปุ่น

ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นถามเติ้งเสี่ยวผิงว่ารู้สึกอย่างไรกับการได้นั่งชิงกันเซ็ง? เติ้งเสี่ยวผิงตอบว่า "เร็วเหมือนลมพัด พวกเราจำเป็นต้องวิ่งแล้ว" และ "เร็วจริงๆ พวกเราต้องไปเร็วกันบ้างแล้ว" บางเวอร์ชั่นยังบอกว่าเติ้งเสี่ยวผิงยังบอกว่าความไว้ของชิงกันเซ็งนั้น "เหมาะกับเรามากในเวลานี้"

คำตอบของเติ้งเสี่ยวผิงอาจฟังดูคลุมเครือ แต่สามารถตีความได้ว่าการนั่งรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นทำให้คนจีนเหมือนถูกผลักดันไปข้างหน้า และต้องวิ่งหนีหรือนำญี่ปุ่นให้ได้ด้วยอัตราความเร็วสูง และที่เติ้งบอกว่า "เหมาะกับเรามากในเวลานี้" หมายถึงช่วงเวลาที่จีนเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจพอดี หลังจากผ่านยุคแห่งความล้มลุกคลุกคลานมานานหลายสิบปี

ในเวลานั้นจีนยังเป็นประเทศที่ยากจน เพิ่งผ่านหายนะของการปฏิวัติวัฒนธรรมมาหมาดๆ ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก เรียกได้ว่าฐานะต่างกันราวฟ้ากับเหว

ตอนที่เติ้งเสี่ยวผิงนั่งชิงกันเซ็งนั้นเขานั่งเส้นทางสายโตเกียว-เกียวโต และได้ไปเยือนนาระ เมืองหลวงโบราณที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่นรับมาจากสมัยราชวงศ์ถังของจีน เมื่อมีผู้บอกว่าอารยธรรมแห่งนาระนั้นล้วนแต่เรียนรู้มาจากจีนทั้งสิ้่น เติ้งเสี่ยวผิงบอกว่า "(ตอนนี้) สถานะกลับตาลปัตรแล้ว" และ "เราต้องเรียนรู้จากคุณ"

ชิงกันเซ็งที่เติ้งเสี่ยวผิงนั่งในตอนนั้นมีความเร็ว 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้วมันถือว่าเร็วจนแทบจะจินตนาการไม่ออก

เทียบกับจีนแล้วคนละเรื่อง ในขณะนั้นระยะทางรวมของการขนส่งทางรถไฟในจีนแผ่นดินใหญ่คือ 52,000 กิโลเมตร โดยไม่มีเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ความเร็วสูงสุดของรถไฟโดยสารคือ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงความเร็วเฉลี่ยเพียง 43 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเนื่องจากมีการหยุดรถหลายครั้งตามสถานีต่างๆ และมีความล่าช้าบ่อยครั้ง

แน่นอนว่าความประทับใจของเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแรงขับเคลื่อนให้จีนพัฒนารถไฟความเร็วสูงนับแต่นั้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย จากทศวรรษที่ 80 - 90 ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเชิงทฤษฎีของเส้นทางปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้เท่านั้น จนกระทั่งในปี 1995 นายกรัฐมนตรีหลี่เผิงจึงได้ผลักดันรถไฟฟ้าความเร็วสูงของจีนเป็นหนึ่งใน "แผนแห่งชาติระยะห้าปี" ฉบับที่ 9

ถึงขนาดนี้แล้วตอนแรกหลี่เผิงก็ยังไม่ชัดเจนพอเรื่องเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม เพราะต้นทุนการสร้างมันสูงมากและเทคโนโลยีแบบนีไม่ได้มีกันง่ายๆ

ว่ากันด้วยต้นทุนและความคุ้มทุนกันก่อน นับตั้งแต่แรกแล้วที่เรื่องนี้เป็นอุปสรรคของ "ความฝันรถไฟความเร็วสูงของจีน" ทำให้มันล่าช้านานกว่า 2 ทศวรรษ เป็นประเด็นโต้เถียงดุเดือดก็หลายครั้ง

แต่จีนมีวิธีการของจีนก็คือ "เมื่อจะทำอะไรต้องให้เด็ดขาด" ในปี 2003 ตัวแปรสำคัญคือ ผู้ชายที่ชื่อ "หลิวจื้อจวิน" ลูกชายชาวนาจนๆ แต่ยังสามารถไต่เต้าในกระทรวงรถไฟจีนจนกลายเป็นรัฐมนตรี

เส้นทางของหลิวจื้อจวินเหมือนกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของจีน มันเริ่มจากไม่มีอะไรเลยกระทั่งเป็นดาวจรัสแสง

หลิวนั้นพอเรียนจบชั้นมัธยมต้นก็พอดีกับที่การรถไฟรับพนักงานซ่อมบำรุงเข้าก็เข้ามาทำงานด้วย แต่เพราะเขียนหนังสือดี ต่อมาจึงได้เป็นเสมียนในทีม จากนั้นทำงานดีจนเข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งมาเรื่อยๆ กระทั่งได้มีโอกาสเรียนต่อด้านบริการจัดการคมนาคมขนส่ง และเรียนรู้งานในระดับมณฑล กระทั่งวันดีคืนดีก็ได้เป็นเจ้ากระทรวง

การมาถึงของหลิวคือจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากจีนละล้าละลังมานานหลายสิบปี จู่ๆ หลิวจื้อจวินก็เสนอลั่นเปรี้ยงให้ชูเป้าหมาย "พัฒนารถไฟแบบก้าวกระโดด" โดยมุ่งเป้าที่พัฒนารถไฟความเร็วสูง "เท่านั้น" คือผันสรรพกำลังทั้งหมดมาที่เป้าหมายนี้

กระทรวงรถไฟจีนมีสถานะประหนึ่งอาณาจักรอิสระ มีกำลังคนมหาศาลนับล้านคนและสินทรัพย์หลายล้านล้านหยวน แต่ศักยภาพในการพัฒนาต่ำ แม้จะมีเป้าระดับชาติมาแล้วให้ผลักดันตัวเองก็ตาม

อาจจะเรียกได้ว่าสิ่งที่กระทรวงรถไฟจีนต้องการคือผู้นำที่เด็ดขาดกล้าได้กล้าเสีย แล้วหลิวจื้อจวินก็เป็นคนแบบนั้นเสียด้วย คำขวัญประจำตัวเขาคือ "ต้องก้าวกระโดด" (คว่าเย่ ซื่อ) เอะอะอะไรก็ก้าวกระโดด กดดันให้พนักงานกระทรวงต้องก้าวกระโดด การพัฒนาต้องก้าวกระโดด จนเข้าได้ฉายาว่า "หลิวก้าวกระโดด" (หลิวคว่าเย่)

คนในกระทรวงมีทั้งรักและทั้งชังหลิวจื้อจวินบางคนบอกว่าเขาบ้าอำนาจ บางคนบอกว่าถ้าไม่ได้คนนิสัยแบบเขามาบริหาร กระทรวงรถไฟก็จะยังคงเป็นกระทรวงแบบ "ถึงก็ชั่งไม่ถึงชั่ง" นั่งรถไฟกันแบบหวานเย็นต่อไป

แล้วก็ก้าวกระโดดจริงๆ หลังจากติดแหง็กมานับสิบปี รัฐบาลก็รับลูกการก้าวกระโดดของหลิวจื้อจวิน ผันงบประมาณให้หลายล้านล้านหยวน จนทำให้แผนก้าวกระโดดของหลิวจื้อจวินกลายเป็นการลงทุนวิศวกรรมโยธาที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับตั้งแต่การลงทุนสร้างทางหลวงข้ามรัฐในสมัยประธานาธิบดีดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ของสหรัฐ (ซึ่งเป็นคุณต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐ เพราะกระตุ้นการใช้รถส่วนบุคคล แทนที่จะเป็นระบบขนส่งสาธารณะ)

เอาเฉพาะแค่ทางรถไฟทั่วไป ในระหว่างที่หลิวจื้อจวินดำรงตำแหน่ง มีการสร้างทางรถไฟรวม 18,000 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟ 30,000 กิโลเมตร ระยะทางในการปฏิบัติการรถไฟของจีนเพิ่มขึ้นจาก 71,900 กิโลเมตรในปี 2002 เป็น 91,000 กิโลเมตรในปี 2010

แต่นี่ยังเทียบไม่ได้กับการผลักดันรถไฟความเร็วสูงที่เริ่มศูนย์

หลิวจื้อจวินใช้กระบวนท่า "มหาเวทดูดดาว" โดยกำหนดให้บริษัทรถไฟต่างชาติที่จะทำธุรกิจกับจีนจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีหลักให้กับจีน - มันฟังดูแล้วเหมือนจะไม่คุ้ม แต่บริษัทต่างชาติต้องใคร่ครวญแล้วว่ากว่าจะถึงเวลาที่จีนดูดเทคโนโลยีของพวกเขาไปพัฒนารถไฟความเร็งสูงของตัวเอง พวกเขาย่อมเก็บเกี่ยวจากตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนคุ้มแล้ว

ด้วยวิธีการนี้จีนจึงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงของตัวเองได้ในเวลาอันสั้นและด้วยต้นทุนที่ต่ำ

บางบริษัทไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องคุ้มค่า

เช่น Hitachi ของญี่ปุ่นซึ่งมีเทคโนโลยีรถชินคันเซนรุ่น 800 Series และรุ่น 700 Series ไม่ยอมขายรถและถ่ายทอดทเคโนโลยีให้จีน ต่อมาเมื่อจีนหันไปดีลกับ Kawasaki Heavy Industries ตอนแรกก็ถูกกลุ่มบริษัทในประเทศคัดค้าน คือ JR-EAST, Nikkei และ Hitachi แต่สุดท้ายจีนก็ดีลกับ Kawasaki ได้ในที่สุดรวมถึงบริษัทในยุโรป

นอกจากจะมีการคัดค้านจากกลุ่มธุรกิจในญี่ปุ่น ในจีนเองก็เกือบจะต้องล้มดีลเพราะมีกระแสชาตินิยมต่อต้านญี่ปุ่นในสื่อของจีน จนกระทั่งกระทรวงโฆษณาชวนเชื่อต้อมีคำสั่งให้สื่อ "อย่ารายงานตามใจตัวเอง" ในเรื่องรถไฟความเร็วสูง

และอันที่จริงมันไม่เชิงเป็นพัฒนาการแบบ "ก้าวกระโดด" ของหลิวจื้อจวินแบบ 100% เพราะจีนมีนโยบาย "เพิ่มระดับความเร็วรถไฟ" มาเป็นลำดับตั้งแต่ปี 2007 เริ่มจากสมรรถนะขับจริงแค่ 43 กม. / ชม. ค่อยๆ เพิ่มเป็นความเร็วจำเพาะสำหรับทดลองระความเร็วสูงได้ที่ 160 กม. / ชม. ในการทดสอบครั้งที่ 1 และมีระบบรางรองรับได้ 752 กิโลเมตร (ปี 1997)

จนกระทั่งในครั้งที่ 6 (ปี 2007) ซึ่งเป็นช่วงที่จีนซึมซับเทคโนโลยีต่างชาติมาระดับหนึ่งแล้ว รถไฟจีนทำความเร็วได้ถึง 250 กม. / ชม. ระบบรางรองรับได้ 752 กิโลเมตร แต่ถ้าความเร็วที่ 200 กม. / ชม. จะมีระบบรางรองรับได้ 6,003 กิโลเมตร

เพียง 1 ปีหลังจากนั้่น รถไฟ "เหอเซี่ยเฮ่า CRH3" ความเร็ว 350 กม. / ชม. ที่จีนผลิตร่วมกับ Siemens ก็ออกจากสายการผลิตในเดือนเมษายน 2008 และวันที่ 1 สิงหาคม 2008 รถไฟความเร็วสูงสายแรกของจีนที่มีความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือ รถไฟระหว่างปักกิ่ง-เทียนจินก็ได้เริ่มดำเนินการ

นี่เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จีนเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกพอดีนับเป็นหน้าเป็นตาอย่างยิ่งต่อจีน และในขณะที่ทั่วโลกกระอักกับวิกฤตการเงินปี 2008 จีนใช้นโยบายแบบเคนเซี่ยนด้วยการที่รัฐอัดการลงทุนสาธารณะอย่างมหาศาลเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจซบเซา จีนทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 4 ล้านล้านหยวน ในจำนวนนี้มากถึง 1.5 ล้านล้านหยวนผันมาพัฒนาทางรถไฟ ทางหลวง การอากาศยาน

นี่คือจุดเทคออฟสำคัญของรถไฟความเร็วสูงของจีน

ขณะที่โลกซึมเซา จีนกลับคึกคัก หลิวจื้อจวินผลักดันรถไฟความเร็วสูงอย่างบ้าคลั่ง ย้อนกลับไป เมื่อรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เทียนจินอยู่ในระยะทดสอบ 300 กิโลเมตร หลิวจื้อจวินนั่งที่หัวขบวนรถไฟด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ วิศวกรจึงรู้สึกตึงเครียดกับหน้าที่และไม่กล้าที่ผ่อนปรน

คราวนี้ ระหว่างทดสอบระบบเส้นทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ในปี 2010 หลิวจื้อจวินนั่งไปในขบวนรถด้วย และกำชับให้พนักงานขับเร่งความเร็วไปถึงจุดสูงสุดพร้อมกับคงความเร็วไว้อย่างยาวนาน

ผู้ร่วมงงานของหลิวจื้อจวินกล่าวไว้ในบทความของ "เจิ้งเชวี่ยนหว่าง"ว่า "ในการทดลองสร้างสถิติบนรถไฟทั้งหมดนั้น รัฐมนตรีหลิวได้สั่งการในห้องโดยสารเป็นการส่วนตัวเกือบทุกครั้งเพื่อทดสอบความปลอดภัย ในฐานะรัฐมนตรี เขาสามารถใช้ชีวิตของตนเองทดสอบความปลอดภัยของรถไฟความเร็วสูงได้ ช่างน่าประทับใจจริงๆ"

ด้วย "วีรกรรม" เหล่านี้ หลิวจื้อจวินจึงได้ฉายาว่า "รัฐมนตรีผู้ยืนอยู่ที่หัวรถ"

ปรากฎว่าความบ้าบิ่นของเขาทำให้จีนก้าวกระโดดจากประเทศที่ไม่มีรถไฟความเร็วสูงเลยเมื่อ 2 ปีก่อน กลายเป็นประเทศที่มีขบวนรถที่ทำความเร็วถึง 486.1 กม. / ชม. ซึ่งเร็วที่สุดในโลก

เขาเป็นคนบ้างานตัวจริง เขาจะมากระทรวงเป็นคนแรกๆ (6 โมงเช้า) เพื่อรับฟังรายงาน และจะกลับเป็นคนสุดท้าย เมื่อทั้งกระทรวงดับไฟหมดแล้ว ยังเหลือห้องเขาที่ไฟยังสว่างอยู่ เมื่อพบปัญหา ไม่สนว่าจะดึกดื่นแค่ไหน เขาจะโทรหาผู้เกี่ยวข้องมาประชุมทันทีแล้วแก้ปัญหากันตอนนั้น

เขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตอนที่เขาเกือบจะได้งานกับการรถไฟครั้งแรกนั้น ผลตรวจสุขภาพพบว่าปอดของเขาอาจจะมีปัญหา หลิวจื้อจวินรีบไปรักษาที่โรงพยาบาลในคืนนั้นเลยจนกระทั่งได้รับการรับรองในเกือบจะนาทีสุดท้ายก่อนเส้นตายว่าหัวใจและปอดของเขาไม่มีปัญหา - มันเหมือนชะตาฟ้ากำหนดให้เขาจะเป็นผู้นำรถไฟจีนในภายภาคหน้า แต่มันยังสะท้อนบุคคลิกความฉับไวแบบ "ก้าวกระโดด" ของเขาด้วย

เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสียแบบนี้ และยังกล้ารับผิดชอบด้วย จนบางคนบอกว่าเขามีอุปนิสัยแบบ "เจียงหู อี้ ชี่" หรือมีคุณธรรมน้ำมิตรแบบจอมยุทธ์ในนิยายกำลังภายใน แต่บางคนก็ว่าเขาเป็นวิญญูชนจอมปลอมที่เมื่อเห็นคนอื่นมีประโยชน์ก็จะส่งเสริม เมื่อไร้ราคาแล้วก็จะถีบหัวส่ง

การมุ่งเป้าหมายแบบ "รถไฟความเร็วสูงเท่านั้น" ยังดูดทรัพยากรมหาศาล เขามีเรื่องบาดหมางกับผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ชี้ว่าโครงการของเขาบางเส้นทางไม่คุ้มค่า และมีราคาสูงกว่าคนท้องถิ่นจะแบกรับไหว เขายังผันเงินสวัสดิการของกระทรวงไปใช้พัฒนาโครงการ ทำให้พนักงานระดับล่างเดือดร้อนกันไปหมด ยังไม่นับหนี้มหาศาลที่เขาก่อขึ้น

แน่นอนว่าบางคนก็ชอบลีลาการทำงานแบบนี้ บางคนก็เกลียดชัง โดยเฉพาะในกระทรวงที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามมาก่อน แต่บางคนก็มีเหตุผลให้ชิงชัง เพราะการ "ปฏิรูปกระทรวง" ทำให้ระบบรวนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง บางครั้งร้ายแรงจนมีคนตายหลายสิบ ทำให้เขาถูก "ลดคุณงามความดี"

แล้วก็เป็นอุบัติเหตุนี่เองที่ดับอนาคตของหลิวจื้อจวินแบบตอกฝาโลง คือ อุบัติเหตุรถไฟความเร็วสูงชนกันที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง เดือน กรกฎาคม 2011 เพราะระบบอาณัติสัญญาณรถไฟล้มเหลว จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 120 คน เป็นอุบติเหตุที่ทำให้จีนถึงกับฝ่อ และ "ความฝันรถไฟความรถไฟความเร็วสูงต้องหยุดชะงักไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

หลิวจื้อจวินมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงจากรายงานการสอบสวนของรัฐบาล ข้อหาหนึ่งคือมีการประมูลอุปกรณ์ที่มีข้อบกพร่อง พูดง่ายๆ ก็คือกินนอกกินในกันนั่นเอง

แม้จะมีโทษหนักจากกรณีนี้ แต่เหตุการณ์ที่เวินโจวเป็นเพียงตอนจบของมหากาพย์การเปิดโปงการคอร์รัปชั่นเล่นพรรคเล่นพวกที่ทำให้หลิวจื้อจวินต้องจบสิ้นวาสนาบารมี

อย่างที่บอกไปว่ากรณีเวินโจวเป็นแค่การตอกฝาโลง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2011 เขาถูกสั่งสอบทางวินัยร้ายแรงข้อหาคอร์รัปชั่น เอื้อพี่น้องให้มีตำแหน่งโดยมิชอบ (แล้วไปโกงกินบ้านเมืองอีกต่อหนึ่ง) มีเมียเก็บมากมาย รัยเงินสินบนถึง 64.6 ล้านหยวน ในเวลาไม่ถึงเดือนเขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรี เดือนพฤษภาคมถูกไล่ออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน

หลังจากเกิดกรณีเวินโจว นายกฯ เวินเจียเป่าที่เป็นคนดันหลิวจื้อจวินขึ้นตำแหน่งถึงกับต้องเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และต่อมารายงานสอบสวนที่ออกมาเร็วเหลือเชื่อคาดโทษหลิวจื้อจวินในฐานะตัวการใหญ่สุด - นี่เท่ากับเป็นการตัดขาดความเกี่ยวข้องกันแล้ว

ปี 2013 หลิวจื้อจวินถูกตัดสินประหารชีวิตรอลงอาญาไว้ก่อน ต่อมาเหลือโทษประหารชีวิต แล้วถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด

แม้จะมีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มี เพราะประวัติชีวิต ความสำเร็จ และเรื่องราวในฐานะผู้ผลักดันรถไฟฟ้าความเร็วสูงของจีน - ทุกอย่างเกี่ยวกับหลิวจื้อจวินยกเว้นความผิดของเขา ถูกลบไปจากสารบบข้อมูลออนไลน์จีน

กระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนก็ยังเถียงกันไม่จบสิ้นว่าความชอบและความชั่วของหลิวจื้อจวินนั้นอย่างไหนมีมากกว่ากัน

บ้างถึงขนาดตั้งคำถามว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐที่เก่งแต่โกงกิน ยังดีกว่าเจ้าหน้าที่มือสะอาดแต่ทำงานไม่เอาไหน และยังมีเสียงเรียกร้องให้ "รื้อฟื้นหลิวจื้อจวิน" เป็นศัพท์แสงทางการเมืองจีนที่หมายถึงการเคลียร์ความผิด คืนชื่อเสียง และให้เขามีที่ยืนอีกครั้ง

แม้จะพุ่งสู่ดวงดาวแล้วร่วงลงสู่นรก แต่หลิวจื้อจวินยังพอมีคุณูปการอยู่บ้าง แม้จะมีบางฝ่ายโต้ว่ารถไฟความเร็วสูงนั้นไม่ใช่คุณงามความดีของหลิวจื้อจวินแต่เพียงคนเดียว

แต่อย่างน้อยทุกวันนี้ยังมีคนที่ยังยอมรับว่าเขาคือ "จงกั๋ว เกาเถี่ย จือ ฟู่" - "บิดาแห่งรถไฟความเร็วสูงของจีน"

โดย กรกิจ ดิษฐาน

 

ข่าวล่าสุด

บางกอกแอร์เวย์ส (BA) คว้าหุ้นยั่งยืน “ระดับ A” จาก SET ESG Ratings