Freight Farms จากตู้คอนเทนเนอร์สู่ฟาร์มบิ๊กดาต้า
โมเดลการทำเกษตรแบบใหม่ที่ริเริ่มเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ขยายรูปแบบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง จนมีอนาคตที่สดใสไม่น้อย
แม้ตู้คอนเทนเนอร์จะไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่เราจะคิดถึงเมื่อกำลังมองหาภาชนะหรือสถานที่ในการปลูกผัก ทว่า ตู้ขนาดใหญ่นี้กลับเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจปลูกผักแต่มีพื้นที่จำกัดอย่างคนเมือง เพราะนอกจากจะประหยัดพื้นที่แล้ว ราคาต่อตู้ยังไม่สูงจนเกินไปและมีความคงทนถาวร แถมยังแก้ไขดัดแปลงให้เป็นแปลงผักระบบปิดที่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะกับพืชผักที่ปลูกได้ง่ายดาย
ด้วยข้อดีเหล่านี้ จึงมีคนนำตู้คอนเทนเนอร์ที่ว่ามาดัดแปลงห่อหุ้มด้วยฉนวนกันความร้อนติดตั้งอุปกรณ์ปลูกผัก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหล่าคนเมืองในเมืองบอสตันของสหรัฐ ที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิติดลบและหิมะปกคลุมพื้นดินจนไม่สามารถปลูกอะไรได้
ตู้ปลูกผักที่ว่านี้เกิดจากการระดมสมองของ แบรด แม็กนามารา และ จอน ฟรีดแมน ที่เริ่มจากโครงการสร้างเรือนกระจกบนชั้นดาดฟ้า แต่หลังจากปรึกษากับวิศวกรแล้วก็ต้องพับโครงการชั่วคราวเนื่องจากใช้เงินลงทุนสูงมาก ทั้งสองคนจึงมองหาทางเลือกใหม่ ในที่สุดก็มาลงเอยที่ตู้คอนเทนเนอร์
เปลี่ยนตู้ให้เป็นฟาร์ม
แม็กนามารา และ ฟรีดแมน เริ่มต้นใช้ตู้คอนเทนเนอร์ปลูกผักด้วยการระดมทุนจากโครงการ Kickstarter ของสหรัฐ ในปี 2011 ได้เงินก้อนแรกจำนวน 31,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาระบบต่างๆ จนกลายมาเป็นลีฟฟีกรีนแมชีน (Leafy Green Machine)
ภายในตู้ขนาดราว 320 ตร.ฟุต ติดตั้งหลอดไฟแอลอีดี แท่นปลูกผักแนวตั้ง อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิและระบบน้ำ โดยใช้การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์
ตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัท เฟรทฟาร์ม (Freight Farm) ได้ชื่อว่าเป็นฟาร์มอัจฉริยะ เนื่องจากอุปกรณ์ทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ภายในจะเชื่อมต่อกับระบบแม่ข่ายของบริษัท โดยผู้ปลูกควบคุมสั่งการทุกอย่างผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอด 24 ชม. ไม่ว่าจะอุณหภูมิ ความชื้น ระดับความเข้มของแสงหรือคาร์บอนไดออกไซด์
ข้อดีของ Leafy Green Machine คือเป็นการปลูกในระบบปิดทำให้ไม่ต้องใช้ย่าฆ่าแมลงหรือสารกำจัดศัตรูพืช ปลูกได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องกังวลกับสภาพอากาศ ทั้งยังประหยัดเนื้อที่ เนื่องจากสามารถวางตู้ซ้อนกันได้หลายชั้น
แม็กนามารา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Freight Farm เผยว่า บริษัทของเขาเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น การปลูกพืชผักในแนวตั้งตามแนวคิดของสองหนุ่มจึงใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกแบบทั่วไปถึง 90% คือใช้น้ำเพียง 10 แกลลอนต่อวัน และส่วนใหญ่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก
พวกไม่หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อดำเนินธุรกิจมาจนถึงปี 2019 ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 Freight Farms ได้ประกาศว่าหลังจาก 5 ปีกับการออกแบบซ้ำ 8 ครั้งพวกเขาก็ประสบความสำเร็จการการสร้างฟาร์มคอนเทนเนอร์รุ่นใหม่และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัท The Greenery
มุ่งสู่โมเดลธุรกิจใหม่
The Greenery ฟาร์มคอนเทนเนอร์ยุคใหม่ของ Freight Farms โดยมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น มีความยั่งยืนที่ดีขึ้น และมีระบบอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับ IoT (อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง) มากขึ้น โดยปรับปรุงเทคโนโลยีและการออกแบบของรุ่นก่อนเพื่อรองรับพืชผลขนาดใหญ่หรืองานเกษตรกรรมแบบแบบเป็นแถว หรือ in-row farming เช่น พืชไร่ต่างๆ นอกจากนี้เอาต์พุตของแผงไฟแอลอีดียังได้รับการอัปเกรด ช่วยให้พืชจะเติบโตได้เร็วขึ้นและมีการอัปเกรดหน่วยเพาะต้นกล้าเพื่อจัดหาต้นกล้าที่เพียงพอให้กับฟาร์ม
พวกเขายังพัฒนา farmhand ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเองโดย Freight Farms ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ผู้ปลูกพืชไร้ดินสามารถควบคุมส่วนประกอบของฟาร์มได้จากระยะไกล ทำงานบางอย่างโดยอัตโนมัติ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการเติบโตของพืชในอดีตและปัจจุบัน และจัดการธุรกิจของตน เดิมซอฟต์แวร์ได้รับการพัฒนาสำหรับลูกค้าของ Freight Farms แต่ตอนนี้สามารถใช้กับระบบไฮโดรโพนิกส์ที่ใช้ตัวควบคุมการเติบโตแบบไหนก็คือ
นี่คือการทำฟาร์มแบบ Big data เต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ผลิตซอฟต์แวร์มารองรับนวัตกรรมของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายรองรับระบบอื่นๆ ด้วย
พวกเขายังริเริ่ม Grown by Freight Farms หรือเรียกสั้นๆ ว่า Grown เป็นบริการทำฟาร์มในสถาบันขนาดกลางและขนาดใหญ่ เช่น วิทยาเขตการศึกษา สวนของสำนักงาน สถานที่ค้าปลีก โรงพยาบาลและอาคารที่พักอาศัย
วิธีนี้ตรงกันข้ามกับการซื้อฟาร์มคอนเทนเนอร์โดยสิ้นเชิง โดยลูกค้า Grown สมัครใช้บริการเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้น Freight Farms จะติดตั้งฟาร์มคอนเทนเนอร์อย่างน้อยหนึ่งฟาร์มในสถานที่ที่ต้องการ ทำการจ้างเกษตรกรเพื่อจัดการการดำเนินงานประจำวันของฟาร์มนั้น และส่งมอบผลผลิตที่ได้ให้กับสมาชิก
โดยการจัดส่งมี 2 ประเภท ได้แก่ “ Grown to Share” เป็นโครงการการเกษตรที่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชน (หรือ Community-supported agriculture - CSA) ที่จัดการโดย Freight Farms เป็นการส่งมอบผักให้กับสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการรับอาหารที่ปลูกในชุมชน (หรือสถาบัน) นั้นๆ หรือจะใช้ระบบ “ Grown to Supply” ซึ่งเป็นการจัดส่งสินค้าแบบง่ายๆไปยังห้องครัว สถานีเตรียมอาหาร หรือปลายทางอื่นๆ ที่ลูกค้าต้องการ
ประวัติศาสตร์ของไฮโดรโปนิกส์
คำว่า ไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกพืชโดยใช้ธาตุอาหารในรูปแบบสารละลายผ่านรากพืชแทนการปลูกในดิน มีที่มาจากภาษากรีก โดยคำว่า “Hydro” หมายถึง “น้ำ” และ “Ponos” หมายถึง “งาน” การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินมีมาเกือบ 400 ปีแล้ว เริ่มปรากฏครั้งแรกในหนังสือของ ฟรานซิส เบคอน ศิลปินชื่อดังชาวอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลายเป็นหัวข้องานวิจัยยอดฮิตในขณะนั้น
กระทั่งมีการทดลองปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินอย่างจริงจังในช่วงศตวรรษที่ 19 โดย ยูลิอุส ฟอน แซคส์ และ วิลเฮม คน็อป นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และมีการพัฒนาสูตรธาตุอาหารเรื่อยมา ต่อมาในปี 1929 วิลเลียม เฟรเดอริก เจอริก จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ ประสบความสำเร็จในการปลูกมะเขือเทศโดยใช้สารละลายธาตุอาหาร จนมีการนำวิธีของเขามาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน


