รับได้ไหมถ้าเราต้องฉีดวัคซีนให้ต่างด้าวก่อน?
เนื่องจากประเทศไทยมีชาวต่างด้าวนับล้าน จะเป็นปัญหาหรือไม่หากเราต้องแจกวัคซีนเพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกลุ่มเสี่ยงในบ้านเรา?
ประเทศไทยได้ตกลงซื้อวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทแอสตราเซเนก้าเอาไว้จำนวน 26 ล้านโดส ฉีดคนละ 2 โดสครอบคลุม 13 ล้านคน โดยจะมาถึงเมืองไทยในกลางปีหน้า
ประชากรไทยมีเกือบ 70 ล้านคน จำนวนโดสที่ได้มาจึงไม่ครอบอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องเลือกฉีดให้กับกลุ่มที่ได้ผลสูงสุด คือกลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่มีโอกาสแพร่เชื้อสูง และฉีดให้กับบุคคลากรด้านสาธารณสุข
การที่จะระบุว่ากลุ่มไหนจะได้ฉีดก่อนนั้น อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนในคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเป็นผู้พิจารณา ตามกำหนดแล้วจะมีผลออกมาในเดือนธันวาคม
แต่พอถึงช่วงกลางเดือนธันวาคมสถานการณ์ในไทยก็เปลี่ยนไป เมื่อพบการระบาดในวงกว้างที่เริ่มต้นจากตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครและผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว
แรงงานต่างด้าวได้กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงไปแล้วและคงไม่จบแค่ในช่วงเวลานี้ ความหวาดระแวงแรงงานต่างด้าวคงจะลากยาวไปจนกว่าไทยจะได้วัคซีนมา
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อวัคซีนมาถึงไทยแล้ว "เป็นไปได้ไหมที่แรงงานต่างด้าวจะถูกพิจารณาได้รับวัคซีนก่อนคนไทย?
ก่อนที่จะมาดูความเป็นไปได้ในไทย เราลองมาดูสถานการณ์ใกล้เคียงกับไทยที่เกิดขึ้นในต่างประเทศเสียก่อน
สหรัฐมีแรงงานผิดกฎหมาย 11 ล้านคนคิดเป็น 3% ของประชากรทั้งหมด ตอนนี้มีประเด็นว่าทางการสหรัฐจะฉีดวัคซีนให้แรงงานผิดกฎหมายหรือไม่ และถ้าแรงงานผิดกฎหมายไปรายงานตัวเพื่อรับวัคซีน พวกเขาจะถูกส่งตัวกลับประเทศหรือไม่เพราะนโยบายของรัฐบาลสหรัฐต่อแรงงานต่าวด้าวนั้นเข้มงวดอย่างมาก
มีผู้ชี้ว่าถ้ามีการกีดกันแรงงงานต่างด้าวก็อาจทำให้การฉีดวัคซีนคนอเมริกันต้องสูญเปล่าไปด้วย
เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐเริ่มตระหนักในปมปัญหานี้ เช่น แอนดรูว คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ส่งจดหมายไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ว่า การกระทำของรัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานผิดกฎหมาย ทำให้คนเหล่านี้ไม่กล้ามารับวัคซีนเพราะการรับวัคซีนต้องแสดงบัตรประจำตัวที่ถูกต้องตามกฎหมาย
หลังจากที่คูโอโมมีจดหมายไปถึง หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐก็ตอบรับด้วยการบอกว่าผู้มารับวัคซีนไม่ต้องแสดงข้อมูลส่วนบุคคล หมายความว่าเป็นใครก็รับวัคซีนได้
แล้วโจ ไบเดน คิดเห็นว่าอย่างไรในเรื่องนี้? ไบเดนบอกไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมหรือก่อนชนะเลือกตั้งว่าแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายควรเข้าถึงวัคซีนและการตรวจโควิดฟรี เขาบอกว่า "ทุกๆ คนในประเทศนี้ ไม่ว่าจะมีเอกสารหรือไม่มีก็ตาม ควรเข้าถึงวัคซีนได้"
ส่วนที่รัฐแคลิฟอร์เนียตั้งกองทุน 125 ล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่เดือนเมษายนเพื่อช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ไม่มีงานทำ เพราะในแคลิฟอร์เนียรัฐเดียวมีต่างด้าวผิดกฎหมายถึง 2 ล้านคน
เรื่องนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่ายินดีมาก อย่างที่เรารู้กันว่ารัฐบาลทรัมป์มีท่าทีไม่ปรานีต่อแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย แต่พวกเขาคงคำนวณแล้วว่าถ้ามัวแต่ไล่จับหรือหวงวัคซีน "คนที่จะซวย" ก็คือเจ้าของประเทศเอง เพราะเท่ากับปล่อยให้คนหลายล้านเข้าไม่ถึงวัคซีนเพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่คนอเมริกัน
แน่นอนว่าในสังคมที่แตกแยกอย่างมากอย่างสังคมอเมริกัน ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นดีเห็นงามกับการช่วยเหลือต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีกระแสเกลียดชิงต่างด้าวและการเหยียดผิว/เชื้อชาติรุนแรงขึ้นมาก
ก่อนที่จะมีโควิด-19 ระบาด สหรัฐมีปัญหาเรื่องไข้หวัดใหญ่ระบาดตามฤดูกาลซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในแต่ละปีนับหมื่นคน (เช่นระหว่าวปี 2018 - 2019 มีผู้ใหญ่ตายเพราะไข้หวัดใหญ่ถึง 61,200 คนเด็ก 143 คน) รัฐบาลจึงเร่งรัดให้ประชาชนที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไปรับวัคซีน
แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่รักษาชายแดนสหรัฐไม่ยอมแจกวัคซีนฟรีให้กับแรงงานผิดกฎหมาย ท่ามกลางเสียงคัดค้านของแพทย์บางกลุ่มที่ชี้ว่าหน่วยกักกันแรงงานต่างด้าวแออัดเกินไป อาจทำให้เสี่ยงที่จะติดโรคได้ในเวลาไม่กี่วันที่แรงงานเหล่านี้ถูกกักกันตัว
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการฉีดวัคซีนให้แรงงานต่างด้าว จะช่วยลดโอกาสในการล้มป่วยจนต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลหรือส่งหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น
จากประสบการณ์เรื่องไข้หวัดในสหรัฐจะเห็นว่าการให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน มีเอกสารยืนยันตัวหรือไม่ก็ตามเข้าถึงวัคซีน จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าการปล่อยให้คนเหล่านี้ติดค้างในประเทศแล้วกลายเป็นพาหะต่อไป หรือติดเชื้อจนต้องส่งไปรักษาตัวในศูนย์พยาบาลซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
แต่เราต้องย้ำอีกครั้งว่าการเข้าถึงวัคซีนไม่ได้หมายความว่าแรงงานต่างด้าวจะได้รับวัคซีนฟรี ในกรณีของสหรัฐเช่นกันคำกล่าวของไบเดนแค่บอกว่า "ควรเข้าถึงวัคซีนได้" ไม่ได้หมายความว่า "เข้าถึงฟรี" ส่วนคนอเมริกันเองนั้นได้รับวัคซีนฟรี แต่ "ค่าฉีดไม่ฟรี"
เหมือกับสิงคโปร์ที่กระทรวงแรงงานบอกว่าแรงงานต่างด้าวทุกคนที่ถูกกักตัวในหอพักและที่กำลังทำงานภาคสนาม จะได้รับ "ส่วนลด " ในการฉีดวัคซีน โดยค่าฉีดวัคซีนแต่ละครั้งมีค่าใช้ 25 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงแล้วจากราคาเดิมที่ระหว่าง 35 - 80 ดอลลาร์ ส่วนชาวสิงคโปร์และชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักระยะยาวในสิงคโปร์จะได้รับการฉีดฟรี
จากแนวทางของสิงคโปร์ ประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนให้แรงงานต่างด้าวได้โดยมีส่วนลดให้ ส่วนลดนี้อาจรับผิดชอบเองโดยแรงงานหรือนายจ้างของแรงงาน
ปัญหาก็คือแรงงานต่างด้าวที่ "อาจจะมีหลายแสนคน" (เคยมีถึง 3 ล้านคนช่วงก่อนโควิด-19) จะทำอย่างไร? จะใช้วิธีฉีดวัคซีนที่มีส่วนลดแรงงานเหล่านี้ก็อาจมีเงินไม่พอ หรืออาจจะไม่กล้าออกมาแสดงตัวเพื่อขอรับการฉีดด้วยซ้ำ
การฉีดวัคซีนฟรีให้แงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอาจทำให้เกิดการโต้เถียงในประเทศอย่างรุนแรง ระหว่างคนที่กังวลกับการระบาดจนยอมให้แรนงงานเหล่านี้ฉีดฟรี กับคนไทยที่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบเรื่องภาษีที่จ่ายไปเป็นสวัสดิการให้แรงงานผิดกฎหมาย
ยังไม่นับประเด็นที่ยุ่งยากจากการที่คนเหล่านี้เป็นกลุ่มเสี่ยงมาก และเข้าข่ายกลุ่มที่อาจจะต้องรับวัคซีนก่อนคนไทยที่เป็นเจ้าบ้านด้วยซ้ำ
หันมาดูที่สิงคโปร์ กลุ่มแรกที่จะได้รับวัคซีนเอาไว้แล้วว่าคือ (1) บุคคลากรการแพทย์ และ (2) กลุ่มเสี่ยงที่ระบุชัดว่า เป็น คนชราและกลุ่มที่เสี่ยงจะมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรงหากติดโควิด-19
และถึงสิงคโปร์จะมีปัญหาการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าว แต่ด้วยขนาดของประเทศที่จำกัดทำให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของแรงงานได้ง่ายกว่าไทย ซึ่งมีทั้งข่าวจริงข่าวลือเรื่องแรงงานหนีกการกักกันโรค
จะว่าไปแล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยเป็นสิ่งที่คาดหวังได้ว่าต้องเกิดตราบใดที่ไทยยังใช้แรงงานต่าวด้าวจำนวนมหาศาล และในจำนวนนี้ต้องมีแรงงานหลบหนีเข้าเมืองแน่นอนและเข้ามาพร้อมกับโรคระบาด
เพียงแต่ระเบิดเวลาในไทยระเบิดช้าไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับมาเลซียเจอการระบาดหนักในรัฐซาบาห์ซึ่งติดกับฟิลิปปินส์เมื่อเดือนตุลาคม นายกรัฐมนตรีมูฮ์ยิดดิน ยัสซินชี้ว่าตัวการคือต่างด้าวหนีเข้าเมืองจากฟิลิปปินส์นั่นเอง และเมื่อจับต่างด้าวเหล่านี้เข้าคุก ก็ไปติดเชื้อในคุก ติดผู้คุม ผู้คุมนำไปติดคนในครอบครัวอีก จนติดในชุมชน
ดังนั้นการจับแรงงานผิดกฎหมายไม่ใช่ทางออก และการจับตรวจแล้วผลักดันออกไปก็ไม่ใช่ทางออก เพราะแรงงานเหล่านี้จะกลับเข้ามาอีก เนื่องจากเมียนมาไม่มีงานและการรักษาพยาบาลไม่ดีเอาเลย
วิธีการที่ดีกว่าคือไม่จับ แต่นิรโทษกรรมชั่วคราวให้แรงงานผิดกฎหมายและนายจ้างกล้าส่งคนเหล่านี้มารับการตรวจและรับวัคซีน
ประเทศในตอนนี้สถานการณ์คล้ายๆ กับสหรัฐมากกว่าซึ่งมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในอัตราสูงมาก เราจึงน่าจะใช้วิธีเดียวกับสหรัฐคือให้พวกเขาเข้าถึงวัคซีน ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นอาจจะให้แรงงานเหล่านี้จ่ายเองหรือไทยอาจขอความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติในด้านการเงิน เพราะที่ผ่านมาไทยก็ใช้วิธีนี้ทำงานเชิงรุกตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันโรคร้ายแรงอื่นๆ จากเพื่อนบ้านอยู่แล้ว
จะไม่ให้ฉีดเลยนั้นเป็นไปไม่ได้และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งมวล ก็อาจจะให้คนต่างด้าวฉีดพร้อมๆ กับคนไทยไปเลย
Photo by Sai Aung Main / AFP


