posttoday

แทมมี่ ดักเวิร์ธ นักการเมืองเลือดไทยพลาดตำแหน่งผู้สมัครรองประธานาธิบดี

12 สิงหาคม 2563

แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนมองว่าความโดดเด่นของเธอ จะทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้า หรืออาจได้ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีหากไบเดนชนะการเลือกตั้ง

โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ประกาศเลือก คามาลา แฮร์ริส ส.ว.หญิงเชื้อชาติอินเดีย-จาไมกาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.นี้

การตัดสินใจของไบเดนครั้งนี้ทำให้ ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ ส.ว.สายเลือดไทยจากรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่ไบเดนจะเลือกให้มาเป็นคู่ชิงเก้าอี้รองประธานาธิบดี พลาดโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

ด้านดักเวิร์ธ ได้ทวีตข้อความหลังประกาศผลว่า “ฉันพร้อมจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้ โจ ไบเดน และคามาลา แฮร์ริส ชนะเลือกตั้ง ประเทศของเราต้องการประธานาธิบดี และกองทัพก็ต้องการผู้นำ ที่มีความสามารถ มีประสิทธิภาพ และมีความเข้าอกเข้าใจในการนำพาประเทศที่ยิ่งใหญ่ มีความหลากหลายผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้”

นักการเมืองเชื้อชาติไทยยังทวีตอีกว่า “ฉันไม่เคยมั่นใจเท่าวันนี้เลยว่าไบเดนคือผู้นำคนนั้น ฉันทุ่มหมดหน้าตักให้ไบเดน-แฮร์ริส และหวังว่าพวกคุณจะร่วมขบวนกับฉันเพื่อช่วยให้ไบเดนกับคามาลาโค่น โดนัลด์ ทรัมป์ และฟื้นฟูจิตวิญญาณอเมริกันในเดือน พ.ย.นี้”

ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปีไบเดนประกาศชัดเจนว่าจะเลือกผู้หญิงเป็นรองประธานาธิบดี และชื่อของดักเวิร์ธก็อยู่ในโผตัวเต็ง ทั้งยังได้รับเสียงเชียร์จากคนอเมริกันและบรรดาสื่อรายใหญ่ เนื่องจากเธอมีความสามารถที่โดดเด่น ทั้งในฐานะอดีตนักบินของกองทัพที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างจากปฏิบัติการในอิรัก และการทำหน้าที่วุฒิสมาชิกในสภา

แต่แม้เธอจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นคู่หูของไบเดน แต่ เดวิด แอ็กเซลร็อด ที่ปรึกษาด้านการเมืองของอดีตประธานาธิบด บารัก โอบามาเผยว่า เธอมีสถานะสูงขึ้นจากกระบวนการคัดเลือกรองประธานาธิบดีในครั้งนี้

และนอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์กันว่า ดักเวิร์ธอาจจะได้ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีหรือตำแหน่งระดับสูงหากไบเดนชนะการเลือกตั้ง เพราะเธอมีประสบการณ์ทางด้านการทหารอย่างล้นเหลือ ทั้งยังเคยเป็นผู้ช่วยเลขานุการในกระทรวงการทหารผ่านศึกสหรัฐในสมัยอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา ก่อนจะชนะการเลือกตั้งวุฒสมาชิกในรัฐอิลลินอยส์

ข่าวล่าสุด

สธ. ปั้นนโยบายขึ้นทะเบียนยา ATMPs ‘เร็วที่สุดในอาเซียน’ ดัน 'Medical Economy'