posttoday

จีนอาจไม่ปกปิดกรณีไวรัสอู่ฮั่น แต่โลกก็ไม่อาจไว้ใจจีนได้

22 มกราคม 2563

17 ปีก่อนจีนเคยปกปิดการระบาดของโรคซาร์สจนเชื้อแพร่ไปทั่วโลก การระบาดของโคโรนาไวรัสครั้งนี้จึงทำให้ชาวจีนและชาวโลกอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยอีก

17 ปีก่อนจีนเคยปกปิดการระบาดของโรคซาร์สจนเชื้อแพร่ไปทั่วโลก การระบาดของโคโรนาไวรัสครั้งนี้จึงทำให้ชาวจีนและชาวโลกอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยอีก

การระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากเมืองอู่ฮั่นของจีน (2019-nCov) เริ่มแพร่กระจายเป็นวงกว้าง พบผู้ติดเชื้อทั้งในสหรัฐ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเก๊า และประเทศไทย ขณะที่ในจีนเองเชื้อเริ่มระบาดในหลายเมือง โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้น

นอกจากจะต้องหาทางควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุดแล้ว รัฐบาลจีนยังมีความท้าทายใหญ่ไม่แพ้กันรออยู่ นั่นก็คือ เสียงเรียกร้องจากทั้งในและนอกประเทศให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตัวใหม่อย่างโปร่งใส

หากยังจำกันได้เมื่อ 17 ปีที่แล้วที่โรคซาร์ส (SARS) ระบาด รัฐบาลจีนถูกชาวโลกวิจารณ์อย่างหนักว่าทั้งปกปิดข้อมูลและรับมือช้าไปจนเกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 ราย ติดเชื้ออีกว่า 8,000 รายทั่วโลก

การระบาดของโคโรนาไวรัสครั้งนี้จึงทำให้ชาวจีนและชาวโลกอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยอีก

ปีเตอร์ คอร์ดิงลีย์ ที่ทำหน้าที่โฆษกองค์การอนามัยโลกระหว่างที่เกิดวิกฤตไวรัสซาร์ส ถึงกับตำหนิการรับมือการแพร่ระบาดของโรคปอดในเมืองอู่ฮั่นของจีนว่า “ปกปิดการแพร่ระบาดมาตั้งแต่แรก” โดยกล่าวเพิ่มเติมว่าในฐานะที่เป็นโฆษกขององค์การอนามัยโลกเมื่อปี 2003 เขาเห็นความชะล่าใจของทางการเหมือนกับที่เคยเห็นเมื่อ 17 ปีที่แล้ว

ครั้งล่าสุดนี้ หน่วยงานสาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นประกาศว่ามีโรคปอดระบาดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ปีที่แล้ว หลังจากผู้ติดเชื้อรายแรกมีอาการป่วยถึง 3 สัปดาห์

ทางการเมืองอู่ฮั่นพยายามยืนยันมาหลายสัปดาห์ว่าไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. และรับมือเสมือนว่าเชื้อโคโรนาไวรัสถูกจำกัดอยู่ในเฉพาะเมืองอู่ฮั่นเท่านั้น จนกระทั่งสื่อฮ่องกงเริ่มรายงานว่าพบการติดเชื้อในพื้นที่อื่นของจีนด้วย ทางการจีนจึงค่อยยอมรับ

นอกจากนี้ เว็บไซต์ The New York Times ยังรายงานว่า รัฐบาลจีนพยายามควบคุมการรายงานสถานการณ์ไวรัสด้วยการเซ็นเซอร์ข่าวและโพสต์ในโซเชียลมีเดีย และตำรวจในเมืองอู่ฮั่นได้สวบสวนชาวจีน 8 คนในข้อหาเผยแพร่ข่าวลือ

พฤติการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนอดคิดไม่ได้ว่าทางการท้องถิ่นหรือระดับชาติกำลังปกปิดข้อมูลอะไรอยู่

จีนต้องไม่ลืมว่าความโปร่งใสคืออาวุธชั้นดีในการกำจัดข่าวลือและความตื่นตระหนกของประชาชน

หูซีจิ้น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Global Times ในเครือหนังสือพิมพ์ People’s Daily ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถึงกับวิจารณ์ทางการท้องถิ่นเมืองอู่ฮั่นว่ารับมือกับสถานการณ์ด้วยความเอื่อยเฉื่อย และตั้งคำถามว่าหากจงหนานซาน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินหายใจของจีนไม่ยืนยันว่าเชื้อโคโรนาไวรัส 2019-nCov สามารถแพร่จากคนสู่คน ทางการเมืองอู่ฮั่นจะกล้าเปิดเผยเรื่องนี้หรือไม่

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเอ่ยถึงการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019-nCov โดยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดป้องกันการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส พร้อมทั้งย้ำให้ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก

ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าช้าไป ชาวจีนหลายคนได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลกลางจึงต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบเดือน

นอกจากนี้ วันอังคารที่ผ่านมา (21 ม.ค.) คณะกรรมการกลางทางการเมืองและกฎหมายของจีนออกประกาศว่าไม่ให้เจ้าหน้าที่ปกปิดข้อมูล ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยว่าก่อนหน้านี้จะต้องมีการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของโรคปอดปริศนาจริงๆ มิเช่นนั้นทางการคงไม่ออกมาปราม

ภาพลักษณ์รัฐบาลจีนยังย่ำแย่หนักในสายตาประชาชนถึงขั้นมีข่าวลือออกมาว่าเจ้าหน้าที่บางรายเริ่มหนีงานไปอยู่ในเซฟเฮ้าส์เพื่อไม่ให้ตัวเองติดเชื้อโรค ข่าวนี้สะท้อนว่าแม้แต่คนจีนเองยังไม่เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่จะควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเต็มที่ คงเป็นการยากที่รัฐบาลจีนจะฟื้นฟูความเชื่อมั่นนี้กับชาวต่างชาติ

อย่างไรก็ดี ความเห็นจากอีกฝั่งหนึ่งมองว่าความล่าช้าในการประกาศการแพร่ระบาดเกิดจากทั้งเทคโนโลยีและระบบราชการของจีน

จงหนานซาน ผู้เชี่ยวชาญที่รัฐบาลมอบหมายให้ลงพื้นที่รับมือเชื้อไวรัส 2019-nCov เผยว่า บางโรงพยาบาลในท้องถิ่นยังขาดชุดทดสอบการติดเชื้อ อีกทั้งกระบวนการต่างๆ ก็ค่อนข้างช้า เนื่องจากโรงพยาบาลท้องถิ่นต้องเขียนรายงานเคสไปยังคณะกรรมการสาธารณสุขของรัฐบาลกลางเพื่อตรวจสอบก่อนที่จะประกาศให้สาธารณชนทราบ อีกทั้งยังยืนยันว่าทางการจีนยังร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากฮ่องกงซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนไม่มีความลับ

ด้าน สตีฟ จาง ประธานสถาบันจีนศึกษาของวิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและและแอฟริกันศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอน มองว่าที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นขยับตัวช้าเพราะไม่กล้าลุกขึ้นมาสั่งการ เนื่องจากกลัวว่าหากไม่ถูกใจสีจิ้นผิงอาจถูกลงโทษ ซึ่งกรณีนี้มักเกิดกับประเทศที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ผู้นำเพียงคนเดียว อำนาจการตัดสินใจเรื่องสำคัญหรือละเอียดอ่อนอยู่ที่ผู้นำสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น

ส่วนมาตรการป้องกันควบคุมของทางการจีน ล่าสุดทางการสั่งติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารขาออกทั้งในสนามบินเมืองอู่ฮั่นและสนามบินทั่วประเทศ เพื่อเตรียมรับเทศกาลตรุษจีนที่ชาวจีนนับร้อยล้านคนจะเดินทางครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลก ขณะที่ทางการเมืองอู่ฮั่นยังสั่งห้ามกรุ๊ปทัวร์เดินทางออกจากเมืองและสั่งตรวจเช็กยานพาหนะขนส่งสัตว์มีชีวิตอย่างละเอียด

ทว่าการตรวจเช็กอุณหภูมินักท่องเที่ยวขาเข้าและขาออกเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเคสของผู้ติดเชื้อรายแรกในมาเก๊า ผู้ป่วยไม่แสดงอาการขณะที่เดินผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ

อีกทั้งนักท่องเที่ยวบางรายที่เคยเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นอาจเดินทางเข้ามาจากประเทศที่สาม หากตรวจเช็กเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากอู่ฮั่นโดยตรงอย่างเดียว กลุ่มคนเหล่านี้อาจหลุดรอดการตรวจสอบ