สีจิ้งผิงสั่งคณะโปลิตบูโร ทำกิจกรรมวิจารณ์และประเมินตนเอง
ผู้นำจีนสั่งสมาชิกระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์ ทำการประเมินความซื่อสัตย์และวิจารณ์ตนเอง
ผู้นำจีนสั่งสมาชิกระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์ ทำการประเมินความซื่อสัตย์และวิจารณ์ตนเอง
เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (โปลิตบูโร) ซึ่งมีประธานาธิบดี สีจิ้งผิง นั่งเป็นประธาน ได้มีคำสั่งให้ผู้บริหารระดับสูงในคณะโปลิตบูโร ทั้ง 25 คน ทำกิจกรรมที่เรียกว่า การวิจารณ์และประเมินตนเอง ถึงผลงาน และความซื่อสัตย์ตลอดระยะเวลาสองปีทีผ่านมานับตั้งแต่คณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์ชุดใหม่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2017
การประชุมดังกล่าวนี้มีขี้นที่กรุงปักกิ่งตลอดช่วงสัปดาห์ทีผ่านมา โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่ประธานาธิบดีจิ้งผิงเป็นผู้นั่งหัวโต๊ะการประชุมนั้นเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายในด้านต่างๆภายในปี 2019 โดยช่วงหนึ่งผู้นำสีได้เรียกร้องให้มีการทำกิจกรรมทบทวนและวิจารณ์ตนเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมเชิงจิตวิทยาในระหว่างการประชุมดังกล่าว
อย่างไรก็ดีรายงานไม่ได้ระบุว่ากิจกรรมทบทวนและวิจารณ์ตนเองนี้ มีรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัวระบุว่า สมาชิกระดับสูงทั้ง 25 คนต้องทำการตอบคำถามเช่น ได้นำคำแนะนำของปธน.สี ไปปรับใช้ในงานอย่างไร ดำเนินงานในด้านต่างๆเป็นไปตามกฎระเบียบของพรรคหรือไม่ รวมถึงที่ผ่านมาเคยกระทำผิดพลาดในสิ่งใดต่อทั้งพรรคฯและต่อผู้นำสีบ้าง
ทั้งนี้ ศูนย์อำนาจใหญ่ของคณะโปลิตบูโรทั้ง 25 คนนั้น ขึ้นอยู่กับปธน.สีจิ้งผิง นับตั้งแต่ที่ปธน.สี ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำจีนในปี 2012 ก่อนที่จะมีการแก้ไขธรรมนูญของจีน ซึ่งเปิดทางให้ผู้นำสีครองอำนาจในฐานะประธานาธิบดี และผู้นำสูงสุดของพรรคไปได้โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา
Willy Lam ศาสตาจารย์ด้านจีนศึกษา จากมหาวิทยาลัยฮ่องกง และนักวิเคราะห์การเมืองมองว่า แม้ประธานาธิบดีสี จะทรงอำนาจในทางการเมืองอย่างมาก แต่อำนาจของเขากลับถูกท้าทายจากปัจจัยภายนอกในประเด็นสงครามการค้ากับสหรัฐจนส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัว
และจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและแผนปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมของจีน ซึ่งนำไปสู่ความเครียด หรือความขัดแย้งในคณะโปลิตบูโรถึงความภักดีต่อประธานาธิบดีสี และกำลังเป็นความท้าทายที่อาจทำให้ปธน.สีเริ่มรู้สึก "ระแวงหรือไม่ปลอดภัย"
สอดคล้องกับตอนหนึ่งที่ปธน.สี ได้กล่าวต่อที่ประชุมโดยย่องยองแนวคิด ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ "democratic centralism" ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของลัทธิเลนิน ซึ่งผู้นำระดับสูงแต่ละคนนั้นมีอำนาจมาก พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีความสามัคคีกันภายในพรรค
ทั้งนี้ การทำกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม สมัยประธานเหมา เจ๋อตุง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความซื่อสัตย์ และกระชับความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม


