posttoday

ปรับทัศนคติ "อุยกูร์" หนทางสู่จีนหนึ่งเดียว?

28 ตุลาคม 2561

การตั้งศูนย์ฝึกวิชาชีพในเขตปกครองตนเองซินเจียง กำลังเป็นที่วิจารณ์ของชาวโลกว่าเป็นค่ายกักกันเพื่อปรับทัศนคติชาวอุยกูร์

การตั้งศูนย์ฝึกวิชาชีพในเขตปกครองตนเองซินเจียง กำลังเป็นที่วิจารณ์ของชาวโลกว่าเป็นค่ายกักกันเพื่อปรับทัศนคติชาวอุยกูร์

******************************

โดย...จุฑามาศ เนาวรัตน์

“หากต้องการสร้างพลเมืองจีนขึ้นใหม่ให้ดียิ่งกว่าเดิม สิ่งที่ศูนย์ฝึกวิชาชีพต้องทำเป็นอย่างแรกคือ ต้องสลายรากฐาน สลายเชื้อสาย สลายความสัมพันธ์ และสลายต้นกำเนิดของพวกเขา” ประโยคนี้ปรากฏอยู่ในเอกสารของเจ้าหน้าที่เขตปกครองตนเองซินเจียง ที่ตั้งของศูนย์ฝึกวิชาชีพเพื่อชีวิตที่ศิวิไลซ์ ตามคำบอกกล่าวของรัฐบาลจีน แต่ในมุมมองของชาวโลกกลับขนานนามสถานที่แห่งนี้ให้ว่า เป็น “ค่ายกักกันเพื่อปรับทัศนคติ”

เรื่องราวของรัฐบาลจีนกับชาวอุยกูร์นั้นเริ่มเข้าสู่การรับรู้ของทั่วโลกตั้งแต่ปี 2009 เมื่อชาวอุยกูร์ได้ออกมาประท้วงถึงการถูกรัฐบาลจีนจำกัดสิทธิเสรีภาพในหลายๆ เรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสนใจในประเด็นนี้กันอย่างจริงจังเกิดขึ้นจากการที่ เกย์ แมคดักกัล สมาชิกคณะกรรมาธิการขจัดการแบ่งแยกเชื้อชาติของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยว่า จีนแอบควบคุมตัวชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอื่นๆ มากถึง 2 ล้านคน ไว้ในค่ายลับที่ซินเจียง

ฮัฟฟิงตัน โพสต์ รายงานว่า อันที่จริงแล้วนโยบาย “ลดทอนความเป็น อุยกูร์” เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี 1955 จากการที่รัฐบาลสนับสนุนให้ชาวจีนฮั่นอพยพไปอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ซินเจียง แลกกับการได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น ด้วยการให้บ้าน ให้การศึกษา และสนับสนุนธุรกิจ หรืออีกนัยหนึ่งคือ รัฐบาลจีนต้องการสร้างทั้งประเทศให้มีความทันสมัยและเป็นจีนหนึ่งเดียวมากขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่ากลยุทธ์นี้ของรัฐบาลจีนจะไปได้สวย เมื่อจำนวนชาวฮั่นในซินเจียงนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 58% ของประชากรทั้งหมด จากเพียงแค่6% ในปี 1949

อย่างไรก็ดี นโยบายดังกล่าวส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันยิ่งขึ้นระหว่างชาวมุสลิมอุยกูร์กว่า 10 ล้านคน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมานานแล้ว และชาวฮั่นที่เพิ่งอพยพเข้าไปใหม่ เนื่องจากชาวฮั่นได้สิทธิพิเศษต่างๆ มากกว่า จนนำไปสู่การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและศาสนาเกิดขึ้นตามมา

จากสภาวะเช่นนี้จึงทำให้ชาวอุยกูร์รู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น เริ่มด้วยการรวมตัวประท้วงในปี 2009 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 184 ราย ตามด้วยการก่อเหตุความไม่สงบอีกหลายครั้งช่วงปี 2013-2015

ขณะที่รัฐบาลจีน มองว่าเหตุความไม่สงบดังกล่าวเป็น “การก่อการร้าย” และเพิ่มการปราบปรามอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการพยายามกวาดล้างแล้ว รัฐบาลได้ก่อตั้งค่ายปรับทัศนคติขึ้นมาโดยเฉพาะ

ค่ายลับปรับทัศนคติ

ตามรายงานของเอเอฟพี ระบุว่า รัฐบาลท้องถิ่นซินเจียงได้เริ่มต้นตั้งค่ายปรับทัศนคติตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่มีการออกมาตรการปราบปรามการก่อการร้ายอย่างจริงจัง และปัจจุบัน ค่ายกักกันมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 181 แห่ง

เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น รัฐบาลท้องถิ่นซินเจียงจึงได้ทำการปรับแก้กฎหมายให้รัฐบาลสามารถปรับทัศนคติให้แก่ชาวอุยกูร์ได้อย่างถูกต้อง โดยใช้ข้ออ้างที่ว่า ชาวอุยกูร์คือกลุ่มคนที่ถูกครอบงำโดยลัทธิสุดโต่งและลัทธิหัวรุนแรง ซึ่งมีแนวโน้มก่อการร้าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการให้ความรู้อย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจีนจะอ้างว่าค่ายดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้ความรู้ชาวอุยกูร์ แต่จากหลักฐานเอกสารของรัฐบาลท้องถิ่นซินเจียงกว่า 1,500 ฉบับ ที่เอเอฟพีได้สืบค้นมานั้น กลับเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างของรัฐบาลจีน โดยเอเอฟพี ระบุว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เมืองโฮตานของซินเจียงได้สั่งซื้อสินค้าหลายพันรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเลย อาทิ กระบองตำรวจ 2,768 อัน เครื่องชอร์ตไฟฟ้า 550 อัน กุญแจมือ 1,367 คู่ และสเปรย์พริกไทยอีก 2,792 กระป๋อง

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เอกสารของเจ้าหน้าที่ยังระบุด้วยว่า ศูนย์ฝึกวิชาชีพนั้นควรมีการสอนเหมือนโรงเรียน จัดการด้วยระบบทหาร และรักษาความปลอดภัยแบบเรือนจำ

ไม่เพียงแค่สร้างค่ายกักกันเท่านั้น ชาวอุยกูร์ในซินเจียงต้องตกอยู่ภายใต้การถูกจับตามองจากทางการจีนแทบ
ตลอดเวลา โดยทั่วทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยทหารที่คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวจับผิดความผิดปกติ ขณะที่รายงานขององค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน (เอชอาร์ดับเบิลยู) เปิดเผยว่า ทางการจีนได้ทำการเก็บดีเอ็นเอ รอยนิ้วมือ และผลสแกนม่านตาของชาวอุยกูร์ทุกคนไว้ทั้งหมด

ไม่ใช่แค่การสอดส่องจากทหารเท่านั้น ทางการจีนกำลังทำสิ่งที่ล้ำยิ่งกว่า โดย เซาท์ ไชน่า มอนิ่ง โพสต์ รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ทางการจีนได้ใช้หุ่นยนต์นกสอดแนมบินทั่วท้องฟ้าของซินเจียง ซึ่งหุ่นยนต์ดังกล่าวมีการติดตั้งกล้องและสามารถส่งข้อมูลไปที่ศูนย์ข้อมูลได้ทันที

การพยายามลดทอนความเป็นอุยกูร์ของจีนยังขยายเข้าไปสู่เรื่องอาหารการกิน โดยซีเอ็นเอ็น รายงานว่า รัฐบาลท้องถิ่นซินเจียงได้เดินหน้าแบนผลิตภัณฑ์ฮาลาลทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างยาสีฟัน และบังคับให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นทุกคนต้องพูดภาษาจีนกลางเท่านั้น

โต้เสียงวิจารณ์

แม้ทั่วโลกจะมองว่าสิ่งที่จีนทำนั้นคือการสร้างค่ายกักกันเพื่อปรับทัศนคติชาวอุยกูร์ แต่จีนก็ยังคงให้คำนิยามว่าเป็นศูนย์ฝึกวิชาชีพ โดยล่าสุดทางการจีนได้เผยแพร่สารคดีผ่านทางช่องซีซีทีวี เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของนักเรียนในศูนย์ฝึกวิชาชีพว่า เต็มไปด้วยความสุข นักเรียนทุกคนได้รับการสอนภาษาจีนกลาง มีการเรียนรู้ด้านการค้า เช่น การถักผ้าและทำขนม และมีงานอดิเรก เช่น การเล่นกีฬาและเต้นรำ

ด้าน ไอลิติ ซาลิเยฟ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของซินเจียง ระบุว่า ชาวมุสลิมที่มีความสุขมากที่สุดในโลกนั้นอาศัยอยู่ในซินเจียง ขณะที่สื่อของรัฐบาลจีนอย่างหนังสือพิมพ์ ไชน่า เดลี่ ก็ออกมาระบุว่า การนำเสนอเรื่องราวของชาวอุยกูร์โดยสื่อต่างชาตินั้นเป็นสิ่งที่บิดเบือนความเป็นจริง และยังใช้เรื่องนี้เพื่อป้ายสีให้กับรัฐบาลจีนอีกด้วย

แม้จีนจะมีข้ออ้างต่างๆ มากมาย แต่ทั่วโลกก็ยังคงวิจารณ์ว่าการกระทำทั้งหมดของรัฐบาลขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและความพยายามลบอัตลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยอาจไม่ได้นำไปสู่หนทางสร้างความเป็นหนึ่งเดียวอย่างยั่งยืน

ข่าวล่าสุด

เสนอพรรคการเมือง 3 ทางออก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้อง 'ห้ามซื้อขาย' เด็ดขาด